การดูแลรักษาเสื้อผ้าเด็กอ่อน
ปกป้องรักษาอาการแพ้เสื้อผ้าที่สวมใส่ โดยการคัดเสื้อผ้าที่เหมาะสม
เสื้อผ้าเด็ก เด็กทารก มักมีปัญหาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งโดยมากมาจากผง หรือสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่สะอาด หรือมีสารเคมีแอบแฝงอยู่ โดยสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือเสื้อผ้าของลูกนี่เองค่ะ
เลือกคัดซื้อ เสื้อผ้าเด็ก จากเส้นใยธรรมชาติ โดยอย่างยิ่งผ้าฝ้ายจากเส้นใยธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่มีการย้อมด้วยสารเคมี น้ำหอม หรือสาร formaldehyde resins อีกทั้งเนื้อผ้าเองก็มีความโปร่งสบายสามารถระบายอากาศได้ง่าย แม้ว่าจะมีมูลค่าแพงอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
เนื่องด้วยผ้าฝ้ายจากเส้นใยธรรมชาติเหล่านี้มีความทนต่อการซักรีดสูง นอกจากจะใช้งานได้นานแล้วเจ้าตัวเล็กก็จะได้ไม่ต้องทรมานจากอาการระคายเคือง และตุ่มเล็กๆคัน
ซัก เสื้อผ้าเด็ก ให้ถูกวิถีทาง เนื่องด้วยว่าความสะอาดของ เสื้อผ้าเด็ก เป็นปัจจัยสำคัญ หากคุณพ่อคุณแม่ดูแลไม่ทั่วถึงก็อาจมีผลให้ลูกเกิดอาการแพ้เสื้อผ้าได้
ฉะนั้นหลังซื้อเสื้อผ้ามาแล้ว ควรซักก่อนให้ลูกใส่ค่ะ เนื่องด้วยแม้จะเป็นเสื้อผ้าเด็กชุดใหม่ แต่ก็อาจมีเศษฝุ่นหรือสารตกค้างที่มาจากกรรมวิธีการผลิต รวมถึงการสัมผัสระหว่างการผลิตก่อนหน้านี้ด้วย
ในการซักเสื้อผ้าเด็ก ไม่ควรใช้ผงซักฟอก เนื่องด้วยระดับความร้ายแรงของสารซักล้างของผู้ใหญ่อาจไม่เหมาะสมกับสภาพผิว ของลูก จึงควรเลือกคัดผลิตภัณฑ์สำหรับลูกโดยเฉพาะ เมื่อใดก็ตามที่เด็ก ๆ มีอาการคันเนื่องแต่การแพ้เสื้อผ้า เราไม่สามารถสั่งหรือดูแลไม่ให้เขาเกาตุ่มหรือเกาตรงบริเวณที่คันได้ ซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนังในเวลาต่อมา ฉะนั้นป้องกันก่อนที่จะสายย่อมดีกว่าแน่นอน
วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557
หยุดกังวลใจเรื่องแผลผ่าคลอด
ที่มา mothersdigest.in.th
เพราะคุณแม่หลังผ่าตัดคลอดลูกน้อยส่วนใหญ่มักมี ปัญหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัดคลอด มาถามคุณหมอ เช่น ความกังวลใจเรื่องแผลติดเชื้อ การดูแลไม่ให้แผลถูกน้ำเจ็บปวดแผลเมื่อเคลื่อนไหว ตลอดจนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นที่ไม่น่าดู วันนี้เราจึงเชิญสูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถามให้ค่ะ
Q : การดูแลแผลผ่าตัดคลอดที่ถูกต้อง ควรทำอย่างไร ?
A : คุณแม่ที่มีแผลผ่าคลอดจำเป็นจะต้องรอให้แผลแห้งและติดสนิท ประมาณ 5-7 วัน คุณแม่จึงไม่สามารถอาบน้ำได้ รวมทั้งอาจต้องมีการเช็ดล้างแผล เปลี่ยนพลาสเตอร์หรือผ้าปิดแผลบ่อยๆ ส่วนแผลผ่าตัดที่ใช้กาวปิดแผล ซึ่งเริ่มใช้กันในปัจจุบันนั้น คุณแม่จะสามารถอาบน้ำได้ทันทีหลังปิดแผล และไม่ต้องล้างแผล โดยเมื่อผิวหนังชั้นนอกมีการผลัดผิว กาวปิดแผล และผิวหนังกำพร้า ชั้นนอกก็จะเกิดการหลุดลอกเองภายหลัง วันที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงที่แผลจะติดสนิทกันดีแล้ว นอกจากนี้ คุณแม่ไม่ควรยกของหัก ไม่ยืดเหยียดแผลมาก จนทำให้แผลถูกรั้งตึงเกินไป ซึ่ง รพ. ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีทางเลือกในการดูแลแผลมาแนะนำให้แก่คุณแม่มากขึ้น
Q : ปัจจัยที่มีผลทำให้แผลผ่าตัดคลอดสวย ?
A : แผลผ่าตัดคลอดจะสวยหรือไม่เป็นแผลเป็น เกิดได้จากปัจจับหลายอย่าง เช่น ตำแหน่งของแผล ผ่าตัดคลอด การเย็บแผลของคุณหมอ ลักษณะผิวหนัง และวัสดุปิดแผล หรือประเภทของไหมที่ใช้ในการเย็บแผล ส่วนการใช้กาวปิดแผล จะช่วยยึดขอบแผลเข้าหากันได้ดี และลดแรงตึงเวลาเคลื่อนไหว มีส่วนช่วยให้เกิดผลแผลเป็นได้น้อยลง
Q : สาเหตุของการที่แผลติดเชื้อ และอาการคันเป็นผื่นแดงรอบแผลผ่าคลอด ?
A : แผลผ่าตัดคลอดที่ติดเชื้อ มักเกิดจากการดูแลแผลที่ไม่ถูกต้อง เช่น แผลถูกน้ำ แผลเกิดความ หรือมีเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล คุณแม่จึงควร เปลี่ยนพลาสเตอร์ หรือผ้าปิดแผล เมื่อสกปรกหรือเริ่มมีการหลุดลอกในส่วนของอาการคัน หรือเป็นผื่นแดงรอบแผล ส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้ พลาสเตอร์ จนทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง
เพราะคุณแม่หลังผ่าตัดคลอดลูกน้อยส่วนใหญ่มักมี ปัญหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัดคลอด มาถามคุณหมอ เช่น ความกังวลใจเรื่องแผลติดเชื้อ การดูแลไม่ให้แผลถูกน้ำเจ็บปวดแผลเมื่อเคลื่อนไหว ตลอดจนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นที่ไม่น่าดู วันนี้เราจึงเชิญสูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถามให้ค่ะ
Q : การดูแลแผลผ่าตัดคลอดที่ถูกต้อง ควรทำอย่างไร ?
A : คุณแม่ที่มีแผลผ่าคลอดจำเป็นจะต้องรอให้แผลแห้งและติดสนิท ประมาณ 5-7 วัน คุณแม่จึงไม่สามารถอาบน้ำได้ รวมทั้งอาจต้องมีการเช็ดล้างแผล เปลี่ยนพลาสเตอร์หรือผ้าปิดแผลบ่อยๆ ส่วนแผลผ่าตัดที่ใช้กาวปิดแผล ซึ่งเริ่มใช้กันในปัจจุบันนั้น คุณแม่จะสามารถอาบน้ำได้ทันทีหลังปิดแผล และไม่ต้องล้างแผล โดยเมื่อผิวหนังชั้นนอกมีการผลัดผิว กาวปิดแผล และผิวหนังกำพร้า ชั้นนอกก็จะเกิดการหลุดลอกเองภายหลัง วันที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงที่แผลจะติดสนิทกันดีแล้ว นอกจากนี้ คุณแม่ไม่ควรยกของหัก ไม่ยืดเหยียดแผลมาก จนทำให้แผลถูกรั้งตึงเกินไป ซึ่ง รพ. ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีทางเลือกในการดูแลแผลมาแนะนำให้แก่คุณแม่มากขึ้น
Q : ปัจจัยที่มีผลทำให้แผลผ่าตัดคลอดสวย ?
A : แผลผ่าตัดคลอดจะสวยหรือไม่เป็นแผลเป็น เกิดได้จากปัจจับหลายอย่าง เช่น ตำแหน่งของแผล ผ่าตัดคลอด การเย็บแผลของคุณหมอ ลักษณะผิวหนัง และวัสดุปิดแผล หรือประเภทของไหมที่ใช้ในการเย็บแผล ส่วนการใช้กาวปิดแผล จะช่วยยึดขอบแผลเข้าหากันได้ดี และลดแรงตึงเวลาเคลื่อนไหว มีส่วนช่วยให้เกิดผลแผลเป็นได้น้อยลง
Q : สาเหตุของการที่แผลติดเชื้อ และอาการคันเป็นผื่นแดงรอบแผลผ่าคลอด ?
A : แผลผ่าตัดคลอดที่ติดเชื้อ มักเกิดจากการดูแลแผลที่ไม่ถูกต้อง เช่น แผลถูกน้ำ แผลเกิดความ หรือมีเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล คุณแม่จึงควร เปลี่ยนพลาสเตอร์ หรือผ้าปิดแผล เมื่อสกปรกหรือเริ่มมีการหลุดลอกในส่วนของอาการคัน หรือเป็นผื่นแดงรอบแผล ส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้ พลาสเตอร์ จนทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง
คลอดธรรมชาติเจ็บน้อยกว่าคลอดแบบผ่าตัด
ที่มา mothersdigest.in.th
“คลอดธรรมชาติ” เจ็บน้อยกว่าคลอดแบบผ่าตัดจริงหรือ?
เชื่อว่าคุณแม่ทุกคน พอใกล้ถึงวันใกล้คลอดทีไรเป็นต้องกังวลนั่นกังวลนี่กันทั้งนั้น โดยเฉพาะการคลอดธรรมชาติ มักมีคนพูดให้ได้ยินแตกต่างกันเสมอว่า คลอดธรรมชาติไม่เจ็บ กับคลอดธรรมชาติเจ็บ ทำให้เกิดความสงสัย และส่งผลให้คุณแม่ที่ใกล้คลอดเริ่มกังวลกันแทบทั้งนั้น
การคลอดธรรมชาติ ที่ผ่านช่องคลอด
นี่เป็นการคลอดที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ และทารกต้องอยู่ในท่าเอาศีรษะลงเข้าสู่เชิงกราน โดยการคลอดแบบธรรมชาตินี้ จะส่งผลดีกับคุณแม่และทารกมากกว่าการผ่าตัดคลอด และแน่นอนว่าขณะที่กำลังรอคลอด คุณแม่ทุกคนคงจะมีความรู้สึกกังวลและกลัวการเจ็บครรภ์เป็นที่สุด ซึ่งทางการแพทย์อาจจะมีวิธีบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการใช้ยาแก้ปวด และอีกวิธีก็คือการบล็อกหลัง ซึ่งการบล็อกหลังต้องดูความเหมาะสมและความสมัครใจของคุณแม่เป็นรายๆ ไป และจะมีการปรับระดับยาที่จะลดความเจ็บปวดให้เหมาะสมกับคุณแม่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดหมอ 10 เซนติเมตร คุณแม่ก็ยังสามารถมีแรงเบ่งคลอดบุตรได้ ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรก แล้วทารกมีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ แต่คุณแม่ค่อนข้างมีรูปร่างที่ตัวเล็ก ก็อาจทำให้คุรแม่เจ็บครรภ์คลอดที่ค่อนข้างมาก อีกทั้งการที่ไม่ตัดแผลฝีเย็บเพื่อขยายช่องทางคลอด ก็อาจจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด และเป็นอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียงได้เช่นกัน
การคลอดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน 3 ชนิด ซึ่งจะหลั่งมาจากต่อมใต้สมอง ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนแห่งความรัก ที่จะช่วยสร้างความอบอุ่น ความรัก ความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูก ฮอร์โมนที่ช่วยให้กล้ามเนื้อเต้านมบีบตัวเพื่อหลั่งน้ำนม และฮอร์โมนที่ทำให้มีความสุข ซึ่งจะหลั่งขณะปวดคลอด และด้วยสัญชาตญาณของทารก เขาสามารถรับรู้ถึงสายสัมพันธ์แม่ ลูก ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับอาการเจ็บเบ่งของแม่ ความรู้สึกรี้คุณแม่อาจหยั่งรู้ไม่ถึง แต่ลูกของคุณแม่รับรู้ได้ตามเส้นทางที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้
เจ็บจริง หรือเจ็บหลอก
• การเจ็บครรภ์ในคุณแม่ใกล้คลอดนั้น จะมีอาการปวดร่วมกันพร้อมกับมีการหดรัดตัวของมดลูก ที่เป็นการปวดเหมือนกับการปวดประจำเดือน แต่การปวดท้องคลอดจะเป็นการเจ็บปวดที่บริเวณมดลูกทั้งหมด ความปวดจะมีระดับความรุนแรง(severity) ที่เพิ่มขึ้นๆ และช่วงเวลาของการปวดแต่ละครั้ง(Interval) จะสั้นลงๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ็บทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนเป็นเจ็บทุกๆ 30 นาที
• ความเจ็บปวดจากการที่มดลูกหดรัดตัว จะมีระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งที่นานขึ้นเรื่อยๆ จาก 10 วินาที เป็น 20 วินาที เป็น 40 วินาที และเมื่อคุณแม่เจ็บครรภ์คลอดจริงขึ้นมา การคลอดก็จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งทารกคลอดเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทารกได้คลอดออกมา และส่งเสียงร้องขึ้นนั่นเอง
• อาการเจ็บปวดครรภ์ไม่สม่ำเสมอ เจ็บที่มีการทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งมดลูกมีการหดรัดตัวเบาๆ ไม่รุนแรง จนกระทั่งการเจ็บปวดหยุดลง อาการนี้มักเรียกกันว่าการเจ็บครรภ์หลอก (False Labor)
Steps การเจ็บครรภ์คลอดในแบบวิถีธรรมชาติ
ระยะที่ 1 ของการคลอด First Stage of Labor เป็นการเริ่มเจ็บครรภ์จริงจนถึงปากมดลูกเปิดหมด โดยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ระยะ
• Early Labor เริ่มตั้งแต่ปากมดลูกยังปิดอยู่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดได้ 4 เซนติเมตร ก็จะมีการหดรัดตัวของมดลูก ทุกๆ 5-30 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 15-40 วินาที คุณแม่ที่เจ็บคลอดจะมีอาการปวดแบบปวดตะคริว มีอาการปวดหลังร่วมด้วย
• Accelerated Labor มีการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 2-3 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-60 วินาที โดยการหดรัดตัวจะแรงขึ้นในระยะนี้ สารเอนเดอร์ฟินจะเริ่มหลั่งออกมาเพื่อช่วยให้ผู้คลอดสามารถดำเนินการคลอดต่อไปได้ พฤติกรรมของผู้คลอดจะเริ่มเปลี่ยนไปโดยจะเงียบลง ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะนั่งหรือนอนอยู่กับที่ หลับตาลง อาการแสดงเหล่านี้ได้บอกว่าระดับสารเอนดอร์ฟินในร่างกายของคุณแม่นั้นมีเพียงพอสำหรับความต้องการ และการคลอดก็จะดำเนินต่อไปได้อย่างปกติ
• Transition ในระยะนี้จะมีการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 1-3 นาที เป็นระยะเวลา 45-90 วินาที โดยจะหดรัดรุนแรงที่สุด และจะทำให้คุณแม่เจ็บปวดมาก ร่วมทั้งร่างกายจะมีการสร้างสารเอนเดอร์ฟินจะสูงที่สุดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้สามารถทนต่อความเจ็บปวดและทำให้ผู้คลอดมุ่งสนใจแต่ภายในตัวของผู้คลอด(Focus Inwardly) คุณแม่จะมีปฏิกิริยาในการหายใจที่ถี่และเร็วขึ้นจากการปวด ในคุณแม่บางรายอาจร้องครวญครางออกมาได้ หรือร้องขอยาแก้ปวด หรือขอให้ผ่าตัด ซึ่งหากผู้ดูแลรู้หลักการดังกล่าวแล้วก็จะช่วยประคับประคองให้การคลอดดำเนินไปสู่ระยะที่ 2 ของการคลอดโดยปราศจากการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น เนื่องจากอาการทั้งหมดนี้เป็นผลของสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งช่วยให้คุณแม่สามารถลืมอาการเจ็บปวดหลังคลอดแล้ว และยังช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก(Bonding) หลังคลอด ในระยะนี้มดลูกกำลังเปลี่ยนสถานะของการกระทำจากการขยายปากมดลูก เป็นการผลักดันทารกผ่านช่องทางคลอด ซึ่งสามารถจะทราบได้โดยผู้คลอดเริ่มมีความต้องการอยากที่จะเบ่ง
ระยะที่ 2 ของการคลอด Second Stage of Labor
• โดยทั่วไปหลังจากสิ้นสุดระยะที่ 1 ของการคลอดจนถึงความรู้สึกอยากเบ่งคลอดอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก มีระยะเวลาประมาณ 10-30 นาที ซึ่งเป็นระยะพักหลังจากที่ได้ผ่านการเจ็บครรภ์คลอดในระยะที่ 1 หลังจากนั้นจึงมีความรู้สึกอยากเบ่ง ดังนั้นจึงไม่ควรให้ผู้คลอดเบ่งในระยะที่อยู่ในระยะพักดังกล่าว มดลูกในระยะนี้มรการหดรัดตัวทุก 3-5 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-70 วินาที ระยะที่ 2 ของการคลอดจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อทารกคลอดออกมาแล้วส่งเสียงร้องแรกนั่นเอง
ฝึกการหายใจเพื่อการคลอด
การหายใจขณะที่กำลังจะคลอดก็มีส่วนทำให้การคลอดผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเช่นกัน ดังนั้นการหายใจหรือการกำหนดลมหายใจเข้าออก จึงมีหลักในการให้คุณแม่ที่ใกล้คลอดได้ไปลองฝึกปฏิบัติกันดูคะ ซึ่งการหายใจจะมีอยู่ 3 ระดับ ดังนี้
• การหายใจ แบบล้างปอด
คือการสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้อง ถ้าหายใจถูกต้อง ท้องจะต้องป่อง จากนั้นก็ให้ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
• การหายใจ ระดับอก
คือการสูดหายใจ ถึงแค่ระดับอก โดยใช้มืออข้างหนึ่งวางไว้ที่อก ถ้าหายใจถูกต้อง อกจะต้องพองขึ้น จากนั้นก็ให้ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
• การหายใจ ระดับคอ
คือการสูดหายใจตื้นๆ เร็วๆ โดยหายใจ ถึงแค่ระดับคอ แล้วหายใจออกทางปากถี่ๆ ซึ่งการหายใจแต่ละระดับจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายลง และบรรเทาความเจ็บปวดในระยะต่างๆ ของการคลอดได้
วิธีปฏิบัติขณะคลอด
เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัว ซึ่งจะมีอาการปวดท้อง ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง จากนั้นให้หายใจระดับอก นับ 1 2 3 แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปาก นับ 1 2 3 ทำเช่นนี้ 6-9 ครั้งต่อนาที เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ ให้หายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง สำหรับการหายใจแบตื่นๆ ถี่ๆ จะใช้ในช่วงที่อยากเบ่ง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดเต็มที่ คุณพยาบาลแนะนำว่า อย่าเพิ่งเบ่ง(เพราะเบ่งยังไง ลูกก็ยังไม่คลอด ควรที่จะเก็บแรงไว้ก่อน) แต่ให้ผ่อนคลายด้วยการหายใจ ตื้นๆ ถี่ๆ โดยหายใจเข้านับ 1 หายใจออกทางปากนับ 2 ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงการเบ่งคลอดขั้นสุดท้าย
“คลอดธรรมชาติ” เจ็บน้อยกว่าคลอดแบบผ่าตัดจริงหรือ?
เชื่อว่าคุณแม่ทุกคน พอใกล้ถึงวันใกล้คลอดทีไรเป็นต้องกังวลนั่นกังวลนี่กันทั้งนั้น โดยเฉพาะการคลอดธรรมชาติ มักมีคนพูดให้ได้ยินแตกต่างกันเสมอว่า คลอดธรรมชาติไม่เจ็บ กับคลอดธรรมชาติเจ็บ ทำให้เกิดความสงสัย และส่งผลให้คุณแม่ที่ใกล้คลอดเริ่มกังวลกันแทบทั้งนั้น
การคลอดธรรมชาติ ที่ผ่านช่องคลอด
นี่เป็นการคลอดที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ และทารกต้องอยู่ในท่าเอาศีรษะลงเข้าสู่เชิงกราน โดยการคลอดแบบธรรมชาตินี้ จะส่งผลดีกับคุณแม่และทารกมากกว่าการผ่าตัดคลอด และแน่นอนว่าขณะที่กำลังรอคลอด คุณแม่ทุกคนคงจะมีความรู้สึกกังวลและกลัวการเจ็บครรภ์เป็นที่สุด ซึ่งทางการแพทย์อาจจะมีวิธีบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการใช้ยาแก้ปวด และอีกวิธีก็คือการบล็อกหลัง ซึ่งการบล็อกหลังต้องดูความเหมาะสมและความสมัครใจของคุณแม่เป็นรายๆ ไป และจะมีการปรับระดับยาที่จะลดความเจ็บปวดให้เหมาะสมกับคุณแม่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดหมอ 10 เซนติเมตร คุณแม่ก็ยังสามารถมีแรงเบ่งคลอดบุตรได้ ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรก แล้วทารกมีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ แต่คุณแม่ค่อนข้างมีรูปร่างที่ตัวเล็ก ก็อาจทำให้คุรแม่เจ็บครรภ์คลอดที่ค่อนข้างมาก อีกทั้งการที่ไม่ตัดแผลฝีเย็บเพื่อขยายช่องทางคลอด ก็อาจจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด และเป็นอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียงได้เช่นกัน
การคลอดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน 3 ชนิด ซึ่งจะหลั่งมาจากต่อมใต้สมอง ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนแห่งความรัก ที่จะช่วยสร้างความอบอุ่น ความรัก ความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูก ฮอร์โมนที่ช่วยให้กล้ามเนื้อเต้านมบีบตัวเพื่อหลั่งน้ำนม และฮอร์โมนที่ทำให้มีความสุข ซึ่งจะหลั่งขณะปวดคลอด และด้วยสัญชาตญาณของทารก เขาสามารถรับรู้ถึงสายสัมพันธ์แม่ ลูก ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับอาการเจ็บเบ่งของแม่ ความรู้สึกรี้คุณแม่อาจหยั่งรู้ไม่ถึง แต่ลูกของคุณแม่รับรู้ได้ตามเส้นทางที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้
เจ็บจริง หรือเจ็บหลอก
• การเจ็บครรภ์ในคุณแม่ใกล้คลอดนั้น จะมีอาการปวดร่วมกันพร้อมกับมีการหดรัดตัวของมดลูก ที่เป็นการปวดเหมือนกับการปวดประจำเดือน แต่การปวดท้องคลอดจะเป็นการเจ็บปวดที่บริเวณมดลูกทั้งหมด ความปวดจะมีระดับความรุนแรง(severity) ที่เพิ่มขึ้นๆ และช่วงเวลาของการปวดแต่ละครั้ง(Interval) จะสั้นลงๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ็บทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนเป็นเจ็บทุกๆ 30 นาที
• ความเจ็บปวดจากการที่มดลูกหดรัดตัว จะมีระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งที่นานขึ้นเรื่อยๆ จาก 10 วินาที เป็น 20 วินาที เป็น 40 วินาที และเมื่อคุณแม่เจ็บครรภ์คลอดจริงขึ้นมา การคลอดก็จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งทารกคลอดเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทารกได้คลอดออกมา และส่งเสียงร้องขึ้นนั่นเอง
• อาการเจ็บปวดครรภ์ไม่สม่ำเสมอ เจ็บที่มีการทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งมดลูกมีการหดรัดตัวเบาๆ ไม่รุนแรง จนกระทั่งการเจ็บปวดหยุดลง อาการนี้มักเรียกกันว่าการเจ็บครรภ์หลอก (False Labor)
Steps การเจ็บครรภ์คลอดในแบบวิถีธรรมชาติ
ระยะที่ 1 ของการคลอด First Stage of Labor เป็นการเริ่มเจ็บครรภ์จริงจนถึงปากมดลูกเปิดหมด โดยแบ่งย่อยออกเป็น 3 ระยะ
• Early Labor เริ่มตั้งแต่ปากมดลูกยังปิดอยู่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดได้ 4 เซนติเมตร ก็จะมีการหดรัดตัวของมดลูก ทุกๆ 5-30 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 15-40 วินาที คุณแม่ที่เจ็บคลอดจะมีอาการปวดแบบปวดตะคริว มีอาการปวดหลังร่วมด้วย
• Accelerated Labor มีการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 2-3 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-60 วินาที โดยการหดรัดตัวจะแรงขึ้นในระยะนี้ สารเอนเดอร์ฟินจะเริ่มหลั่งออกมาเพื่อช่วยให้ผู้คลอดสามารถดำเนินการคลอดต่อไปได้ พฤติกรรมของผู้คลอดจะเริ่มเปลี่ยนไปโดยจะเงียบลง ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะนั่งหรือนอนอยู่กับที่ หลับตาลง อาการแสดงเหล่านี้ได้บอกว่าระดับสารเอนดอร์ฟินในร่างกายของคุณแม่นั้นมีเพียงพอสำหรับความต้องการ และการคลอดก็จะดำเนินต่อไปได้อย่างปกติ
• Transition ในระยะนี้จะมีการหดรัดตัวของมดลูกทุกๆ 1-3 นาที เป็นระยะเวลา 45-90 วินาที โดยจะหดรัดรุนแรงที่สุด และจะทำให้คุณแม่เจ็บปวดมาก ร่วมทั้งร่างกายจะมีการสร้างสารเอนเดอร์ฟินจะสูงที่สุดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้สามารถทนต่อความเจ็บปวดและทำให้ผู้คลอดมุ่งสนใจแต่ภายในตัวของผู้คลอด(Focus Inwardly) คุณแม่จะมีปฏิกิริยาในการหายใจที่ถี่และเร็วขึ้นจากการปวด ในคุณแม่บางรายอาจร้องครวญครางออกมาได้ หรือร้องขอยาแก้ปวด หรือขอให้ผ่าตัด ซึ่งหากผู้ดูแลรู้หลักการดังกล่าวแล้วก็จะช่วยประคับประคองให้การคลอดดำเนินไปสู่ระยะที่ 2 ของการคลอดโดยปราศจากการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น เนื่องจากอาการทั้งหมดนี้เป็นผลของสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งช่วยให้คุณแม่สามารถลืมอาการเจ็บปวดหลังคลอดแล้ว และยังช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก(Bonding) หลังคลอด ในระยะนี้มดลูกกำลังเปลี่ยนสถานะของการกระทำจากการขยายปากมดลูก เป็นการผลักดันทารกผ่านช่องทางคลอด ซึ่งสามารถจะทราบได้โดยผู้คลอดเริ่มมีความต้องการอยากที่จะเบ่ง
ระยะที่ 2 ของการคลอด Second Stage of Labor
• โดยทั่วไปหลังจากสิ้นสุดระยะที่ 1 ของการคลอดจนถึงความรู้สึกอยากเบ่งคลอดอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก มีระยะเวลาประมาณ 10-30 นาที ซึ่งเป็นระยะพักหลังจากที่ได้ผ่านการเจ็บครรภ์คลอดในระยะที่ 1 หลังจากนั้นจึงมีความรู้สึกอยากเบ่ง ดังนั้นจึงไม่ควรให้ผู้คลอดเบ่งในระยะที่อยู่ในระยะพักดังกล่าว มดลูกในระยะนี้มรการหดรัดตัวทุก 3-5 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-70 วินาที ระยะที่ 2 ของการคลอดจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อทารกคลอดออกมาแล้วส่งเสียงร้องแรกนั่นเอง
ฝึกการหายใจเพื่อการคลอด
การหายใจขณะที่กำลังจะคลอดก็มีส่วนทำให้การคลอดผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเช่นกัน ดังนั้นการหายใจหรือการกำหนดลมหายใจเข้าออก จึงมีหลักในการให้คุณแม่ที่ใกล้คลอดได้ไปลองฝึกปฏิบัติกันดูคะ ซึ่งการหายใจจะมีอยู่ 3 ระดับ ดังนี้
• การหายใจ แบบล้างปอด
คือการสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้อง ถ้าหายใจถูกต้อง ท้องจะต้องป่อง จากนั้นก็ให้ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
• การหายใจ ระดับอก
คือการสูดหายใจ ถึงแค่ระดับอก โดยใช้มืออข้างหนึ่งวางไว้ที่อก ถ้าหายใจถูกต้อง อกจะต้องพองขึ้น จากนั้นก็ให้ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
• การหายใจ ระดับคอ
คือการสูดหายใจตื้นๆ เร็วๆ โดยหายใจ ถึงแค่ระดับคอ แล้วหายใจออกทางปากถี่ๆ ซึ่งการหายใจแต่ละระดับจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายลง และบรรเทาความเจ็บปวดในระยะต่างๆ ของการคลอดได้
วิธีปฏิบัติขณะคลอด
เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัว ซึ่งจะมีอาการปวดท้อง ให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง จากนั้นให้หายใจระดับอก นับ 1 2 3 แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปาก นับ 1 2 3 ทำเช่นนี้ 6-9 ครั้งต่อนาที เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ ให้หายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง สำหรับการหายใจแบตื่นๆ ถี่ๆ จะใช้ในช่วงที่อยากเบ่ง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดเต็มที่ คุณพยาบาลแนะนำว่า อย่าเพิ่งเบ่ง(เพราะเบ่งยังไง ลูกก็ยังไม่คลอด ควรที่จะเก็บแรงไว้ก่อน) แต่ให้ผ่อนคลายด้วยการหายใจ ตื้นๆ ถี่ๆ โดยหายใจเข้านับ 1 หายใจออกทางปากนับ 2 ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงการเบ่งคลอดขั้นสุดท้าย
วิธีดูแลสุขภาพคุณแม่ “คลอดปกติ” กับ “คลอดแบบผ่าตัด”
ที่มา mothersdigest.in.th
คุณแม่แต่ละคนเลือกวิธีการคลอดไม่เหมือนกัน บางคนเลือกคลอดแบบปกติ ขณะที่คุณแม่บางคนเลือกที่จะผ่าคลอด ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละคน รวมไปถึงขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณแม่แต่ละคนด้วย ดังนั้นการดูแลสุขภาพของคุณแม่ที่ใช้วิธีคลอดแตกต่างกัน จึงมีเคล็ดลับมีข้อแนะนำที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
1.กรณีคลอดปกติ หลังคลอดประมาณ 1-2 ชั่วโมง พยาบาลจะตรวจวัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจสังเกตปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอดและการแข็งตัวของมดลูก มารดาควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว อาจทำให้หน้ามืดเป็นลมได้ง่าย คุณแม่ควรที่จะค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถ และควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
น้ำคาวปลา คือ เลือดคล้ายประจำเดือนที่ไหลออกทางช่องคลอดในระยะหลังคลอด ซึ่งออกมาจากผนังมดลูกที่ลอกตัวออก และจะค่อยๆ จางลง ช่วง 3 วันแรก น้ำคาวปลาจะมีสีแดง จากนั้นจะค่อยๆ จางลง กลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ ภายใน 14 วัน หลังคลอด และจะหมดลงหลังคลอดไปแล้ว 6 สัปดาห์ สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอด น้ำคาวปลาจะจางลงและหมดเร็ว เนื่องจากแพทย์จะช่วยเช็ดทำความสะอาดโพรงมดลูกให้
แผลฝีเย็บ ในระหว่างคลอด แพทย์จะทำการตัดฝีเย็บ เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อรอบๆ ปากช่องคลอดยืดขยายมากเกินไปวันแรกหลังคลอดถ้าแผลฝีเย็บมีอาการบวมและเจ็บมาก การได้รับยาพาราเซตามอล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ การดูแลแผลฝีเย็บอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการอักเสบติดเชื้อได้ ควรทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และซับให้แห้งถ้าน้ำคาวปลาออกมามาก ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ไม่ควรปล่อยให้แฉะอับชื้น ซึ่งจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมได้
หน้าท้อง การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา จะช่วยให้คุณแม่น้ำหนักลดลงเร็วด้วย สีเส้นคล้ำดำที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าท้อง เป็นผลจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ระยะหลังคลอดผิวหนังซึ่งมีสีคล้ำจะจางลงประมาณ 3-4 เดือน ผิวหนังชุดใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทนเป็นสีปกติ
ช่องคลอด เนื่องจากหูรูดปากช่องคลอดถูกยืดขยายอย่างมากในระหว่างคลอด คุณแม่ควรฝึกขมิบก้น เพื่อบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดจะทำให้อาการดีขึ้น
2.กรณีมารดาผ่าตัดคลอด พยาบาลจะตรวจวัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ สังเกตปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด การแข็งตัวของมดลูก เช่นเดียวกับคุณแม่ที่คลอดปกติรวมทั้งปริมาณ สารน้ำที่ร่างกายได้รับและปริมาณปัสสาวะ
วันแรกๆ มารดาที่รับเติมยาแก้ปวดทางสายบริเวณหลังอาจเกิดอาการคันได้ จะมีการให้ยาบรรเทาอาการคัน เช่น คาลามายด์โลชั่น ยาฉีดแก้คัน
• ควรพลิกตัวไปมาบนเตียงเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ลำไส้เริ่มทำงานได้เร็ว
• เมื่อแพทย์อนุญาตให้มารดาจิบน้ำได้ ซึ่งจะผ่านไปประมาณ 24-48 ชั่วโมง แล้วถอดสายน้ำเกลือ สายสวนปัสสาวะ คุณแม่ควรค่อยๆ จิบน้ำหรืออาหารเหลวใสทีละน้อยบ่อยๆ และลุกเดินเท่าที่ทำได้ เพื่อป้องกันอาการท้องอืดซึ่งจะทำให้ปวดแผลเพิ่มขึ้น
• การเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ควรทำช้าๆ เช่นเดียวกับการคลอดปกติ
• อาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอดมากผิดปกติ/มีไข้/เจ็บแผลมากผิดปกติควร แจ้งให้แพทย์ พยาบาลทราบเพื่อดูแลรักษา
แผลผ่าตัด ระยะแผลกำลังหาย ถ้ามีอาการคันไม่ควรเกา เพราะจะทำให้แผลนูนหนาเป็นแผลได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงชั้นในประเภทบิกินี่ตัวเล็กๆ เพราะขอบยางยืดจะกดเสียดสีที่รอยแผล ควรใส่กางเกงชั้นในตัวใหญ่แผลผ่าจะแห้งติดสนิทในเวลาประมาณ 7-10 วัน
การปฏิบัติตัวระยะหลังคลอด ระยะหลังคลอดที่บ้าน
1.การรักษาความสะอาด คุณแม่ที่คลอดปกติสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ และควรทำความสะอาดแผลฝีเย็บด้วยสบู่และน้ำสะอาดใช้น้ำอุ่นเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บบริเวณแผล และเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนโลหิตส่งเสริมให้แผลหายได้ ซับให้แห้งและเปลี่ยนผ้าอนามัย ทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก
2.อาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ นมอย่างน้อยวันละ 2-3 แก้ว เนื้อสัตว์ต่างๆ รวมทั้งผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้ง ของหวาน เพราะจะทำให้คุณแม่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรงดอาหารรสจัด ของหมักดอง น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ยาขับน้ำคาวปลาหรือยาดองเหล้า
3.การพักผ่อน ควรพักผ่อนนอนหลับช่วงกลางคืน 6-8 ชั่วโมง และ 1/2 -1 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน ภายหลังคลอด 6 สัปดาห์ ไม่ควรทำงานหนัก เช่น การยก แบกหาม ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออวัยวะในอุ้งเชิงกรานและแผลฝีเย็บ
4.กิจวัตรประจำวัน ควรมีการบริหารร่างกายเพื่อให้กระปรี้กระเปร่าสดชื่นอยู่เสมอ อาบน้ำสระผมตามปกติ ควรอยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
5.การมีเพศสัมพันธ์ ควรมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์ หลังคลอดไปแล้ว 6 สัปดาห์ ไข่จะเริ่มตก ดังนั้นจึงควรคุมกำเนิด แพทย์จะนัดมาตรวจและแนะนำวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม
6.อาการผิดปกติที่ต้องมาโรงพยาบาล มีไข้ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เต้านมหรือฝีเย็บอักเสบ น้ำคาวปลามีกลิ่นผิดปกติหรือมีสีแดงสดมีปริมาณมากขึ้น ระดูมีกลิ่นและคัน ปัสสาวะแสบขัด
7.การตรวจหลังคลอด เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป หลังคลอด
8.อุปกรณ์ติดตัวกลับบ้าน ผ้ารัดหน้าท้องใส่เพื่อพยุงหน้าท้องเวลาเคลื่อนไหว ไม่จำเป็นต้องใส่ตลอดเวลา สามารถถอดซักได้ ควรใส่บริเวณช่วงสะโพกบนเวลานอนกลางคืนให้ถอดออก
คุณแม่แต่ละคนเลือกวิธีการคลอดไม่เหมือนกัน บางคนเลือกคลอดแบบปกติ ขณะที่คุณแม่บางคนเลือกที่จะผ่าคลอด ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละคน รวมไปถึงขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณแม่แต่ละคนด้วย ดังนั้นการดูแลสุขภาพของคุณแม่ที่ใช้วิธีคลอดแตกต่างกัน จึงมีเคล็ดลับมีข้อแนะนำที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
1.กรณีคลอดปกติ หลังคลอดประมาณ 1-2 ชั่วโมง พยาบาลจะตรวจวัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจสังเกตปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอดและการแข็งตัวของมดลูก มารดาควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว อาจทำให้หน้ามืดเป็นลมได้ง่าย คุณแม่ควรที่จะค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถ และควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
น้ำคาวปลา คือ เลือดคล้ายประจำเดือนที่ไหลออกทางช่องคลอดในระยะหลังคลอด ซึ่งออกมาจากผนังมดลูกที่ลอกตัวออก และจะค่อยๆ จางลง ช่วง 3 วันแรก น้ำคาวปลาจะมีสีแดง จากนั้นจะค่อยๆ จางลง กลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ ภายใน 14 วัน หลังคลอด และจะหมดลงหลังคลอดไปแล้ว 6 สัปดาห์ สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอด น้ำคาวปลาจะจางลงและหมดเร็ว เนื่องจากแพทย์จะช่วยเช็ดทำความสะอาดโพรงมดลูกให้
แผลฝีเย็บ ในระหว่างคลอด แพทย์จะทำการตัดฝีเย็บ เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อรอบๆ ปากช่องคลอดยืดขยายมากเกินไปวันแรกหลังคลอดถ้าแผลฝีเย็บมีอาการบวมและเจ็บมาก การได้รับยาพาราเซตามอล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ การดูแลแผลฝีเย็บอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการอักเสบติดเชื้อได้ ควรทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และซับให้แห้งถ้าน้ำคาวปลาออกมามาก ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ไม่ควรปล่อยให้แฉะอับชื้น ซึ่งจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมได้
หน้าท้อง การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา จะช่วยให้คุณแม่น้ำหนักลดลงเร็วด้วย สีเส้นคล้ำดำที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าท้อง เป็นผลจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ระยะหลังคลอดผิวหนังซึ่งมีสีคล้ำจะจางลงประมาณ 3-4 เดือน ผิวหนังชุดใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทนเป็นสีปกติ
ช่องคลอด เนื่องจากหูรูดปากช่องคลอดถูกยืดขยายอย่างมากในระหว่างคลอด คุณแม่ควรฝึกขมิบก้น เพื่อบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดจะทำให้อาการดีขึ้น
2.กรณีมารดาผ่าตัดคลอด พยาบาลจะตรวจวัดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ สังเกตปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด การแข็งตัวของมดลูก เช่นเดียวกับคุณแม่ที่คลอดปกติรวมทั้งปริมาณ สารน้ำที่ร่างกายได้รับและปริมาณปัสสาวะ
วันแรกๆ มารดาที่รับเติมยาแก้ปวดทางสายบริเวณหลังอาจเกิดอาการคันได้ จะมีการให้ยาบรรเทาอาการคัน เช่น คาลามายด์โลชั่น ยาฉีดแก้คัน
• ควรพลิกตัวไปมาบนเตียงเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ลำไส้เริ่มทำงานได้เร็ว
• เมื่อแพทย์อนุญาตให้มารดาจิบน้ำได้ ซึ่งจะผ่านไปประมาณ 24-48 ชั่วโมง แล้วถอดสายน้ำเกลือ สายสวนปัสสาวะ คุณแม่ควรค่อยๆ จิบน้ำหรืออาหารเหลวใสทีละน้อยบ่อยๆ และลุกเดินเท่าที่ทำได้ เพื่อป้องกันอาการท้องอืดซึ่งจะทำให้ปวดแผลเพิ่มขึ้น
• การเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ควรทำช้าๆ เช่นเดียวกับการคลอดปกติ
• อาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอดมากผิดปกติ/มีไข้/เจ็บแผลมากผิดปกติควร แจ้งให้แพทย์ พยาบาลทราบเพื่อดูแลรักษา
แผลผ่าตัด ระยะแผลกำลังหาย ถ้ามีอาการคันไม่ควรเกา เพราะจะทำให้แผลนูนหนาเป็นแผลได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงชั้นในประเภทบิกินี่ตัวเล็กๆ เพราะขอบยางยืดจะกดเสียดสีที่รอยแผล ควรใส่กางเกงชั้นในตัวใหญ่แผลผ่าจะแห้งติดสนิทในเวลาประมาณ 7-10 วัน
การปฏิบัติตัวระยะหลังคลอด ระยะหลังคลอดที่บ้าน
1.การรักษาความสะอาด คุณแม่ที่คลอดปกติสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ และควรทำความสะอาดแผลฝีเย็บด้วยสบู่และน้ำสะอาดใช้น้ำอุ่นเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บบริเวณแผล และเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนโลหิตส่งเสริมให้แผลหายได้ ซับให้แห้งและเปลี่ยนผ้าอนามัย ทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก
2.อาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ นมอย่างน้อยวันละ 2-3 แก้ว เนื้อสัตว์ต่างๆ รวมทั้งผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้ง ของหวาน เพราะจะทำให้คุณแม่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรงดอาหารรสจัด ของหมักดอง น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ยาขับน้ำคาวปลาหรือยาดองเหล้า
3.การพักผ่อน ควรพักผ่อนนอนหลับช่วงกลางคืน 6-8 ชั่วโมง และ 1/2 -1 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน ภายหลังคลอด 6 สัปดาห์ ไม่ควรทำงานหนัก เช่น การยก แบกหาม ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออวัยวะในอุ้งเชิงกรานและแผลฝีเย็บ
4.กิจวัตรประจำวัน ควรมีการบริหารร่างกายเพื่อให้กระปรี้กระเปร่าสดชื่นอยู่เสมอ อาบน้ำสระผมตามปกติ ควรอยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
5.การมีเพศสัมพันธ์ ควรมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์ หลังคลอดไปแล้ว 6 สัปดาห์ ไข่จะเริ่มตก ดังนั้นจึงควรคุมกำเนิด แพทย์จะนัดมาตรวจและแนะนำวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม
6.อาการผิดปกติที่ต้องมาโรงพยาบาล มีไข้ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เต้านมหรือฝีเย็บอักเสบ น้ำคาวปลามีกลิ่นผิดปกติหรือมีสีแดงสดมีปริมาณมากขึ้น ระดูมีกลิ่นและคัน ปัสสาวะแสบขัด
7.การตรวจหลังคลอด เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป หลังคลอด
8.อุปกรณ์ติดตัวกลับบ้าน ผ้ารัดหน้าท้องใส่เพื่อพยุงหน้าท้องเวลาเคลื่อนไหว ไม่จำเป็นต้องใส่ตลอดเวลา สามารถถอดซักได้ ควรใส่บริเวณช่วงสะโพกบนเวลานอนกลางคืนให้ถอดออก
เริ่มนับเวลาที่จะได้พบหน้าลูกแม่
ที่มา mothersdigest.in.th
เริ่มนับเวลาที่จะได้พบหน้าลูกแม่
ใกล้แล้วใกล้แล้วใกล้ถึงเวลาที่จะได้พบหน้ากับแก้วตาดวงใจแล้ว นาทีแห่งความสุขกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้คุณแม่มือใหม่กันแล้ว ไม่รู้ว่าคุณแม่ได้จูงมือคุณพ่อพากันไปเลือกซื้อเตรียมข้าวของเครื่องใช้ไว้ให้เจ้าตัวเล็กกันแล้วบ้างหรือยังเอ่ย อยากกระซิบบอกว่า ถ้ามีเวลาก็เตรียมๆ กันไว้บ้างนะคะ พอถึงเวลาลูกคลอดออกมาแล้วเดี๋ยวจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปเตรียมได้นะคะ มีคุณแม่ท้องหลายคนที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเซ็กซ์ระหว่างตั้งครรภ์ เราจึงมีข้อมูลดีดีมานำเสนอให้ได้ทราบกันคะ
ข้อจำกัดในการร่วมรักระหว่างตั้งครรภ์ที่สำคัญได้แก่
• ระหว่าง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ในหญิงที่มีประวัติการแท้งมาก่อน หรือในรายที่มีความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือมีอาการที่เป็นสัญญาณของการแท้ง
• ระหว่าง 8-12 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอดในรายที่มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด หรือมีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือมีสัญญาณการคลอดก่อนกำหนด
• ถ้าเนื้อเยื่อของถุงน้ำคร่ำปริหรือแตก
• กรณีมีลูกแฝด ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เลย
เริ่มนับเวลาที่จะได้พบหน้าลูกแม่
ใกล้แล้วใกล้แล้วใกล้ถึงเวลาที่จะได้พบหน้ากับแก้วตาดวงใจแล้ว นาทีแห่งความสุขกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้คุณแม่มือใหม่กันแล้ว ไม่รู้ว่าคุณแม่ได้จูงมือคุณพ่อพากันไปเลือกซื้อเตรียมข้าวของเครื่องใช้ไว้ให้เจ้าตัวเล็กกันแล้วบ้างหรือยังเอ่ย อยากกระซิบบอกว่า ถ้ามีเวลาก็เตรียมๆ กันไว้บ้างนะคะ พอถึงเวลาลูกคลอดออกมาแล้วเดี๋ยวจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปเตรียมได้นะคะ มีคุณแม่ท้องหลายคนที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเซ็กซ์ระหว่างตั้งครรภ์ เราจึงมีข้อมูลดีดีมานำเสนอให้ได้ทราบกันคะ
ข้อจำกัดในการร่วมรักระหว่างตั้งครรภ์ที่สำคัญได้แก่
• ระหว่าง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ในหญิงที่มีประวัติการแท้งมาก่อน หรือในรายที่มีความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือมีอาการที่เป็นสัญญาณของการแท้ง
• ระหว่าง 8-12 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอดในรายที่มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด หรือมีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือมีสัญญาณการคลอดก่อนกำหนด
• ถ้าเนื้อเยื่อของถุงน้ำคร่ำปริหรือแตก
• กรณีมีลูกแฝด ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เลย
ยาป้องกัน การคลอดก่อนกำหนด
ยาป้องกัน การคลอดก่อนกำหนด
ปกติแล้วคนเราตั้งครรภ์ครบกำหนดเมื่ออายุครรภ์ 40 สัปดาห์ หากคลอดในระหว่าง 37-42 สัปดาห์ยังถือว่ายังอยู่ในช่วงที่ทารกจะมีสุขภาพแข็งแรงดี หากเลยกำหนดคลอด 42 สัปดาห์ขึ้นไป รกจะมีการเสื่อมสภาพ ไม่สามารถส่งอาหารให้ทารกอย่างพอเพียง คุณหมอก็จะพิจารณาช่วยเร่งการคลอด หรือผ่าตัดคลอดให้แล้วแต่กรณี ส่วนการคลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์เต็ม จะถือเป็นการคลอดก่อนกำหนด ทารกที่คลอดก่อนกำหนดมากๆ จะยังไม่มีความสมบูรณ์ของร่างกายมากพอที่จะอยู่ภายนอกร่างกายของแม่ได้ จะต้องทำการช่วยเหลือในการปรับสิ่งแวดล้อม ให้ทารกสามารถปรับตัวและเจริญเติบโตต่อภายนอกครรภ์มารดาได้ เช่นให้ทารกอยู่ในตู้อบที่มีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส อาจต้องให้นมหรือสารอาหารต่างๆทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร หรือให้สารอาหารทางเส้นเลือด อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหากปอดของทารกยังไม่สมบูรณ์ดี เป็นต้น ซึ่งการที่ต้องเลี้ยงดูทารกใน NICU ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณแม่คนไหนอยากจะให้เป็น ทุกคนอยากให้เด็กคลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรงทั้งนั้น แต่บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาชีวิตของทั้งคุณแม่และทารก ก็อาจจำเป็นต้องให้คลอดก่อนกำหนด
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์และยังไม่ครบกำหนด แต่เริ่มมีอาการว่าจะคลอดก่อนกำหนด คุณหมอก็มักให้การรักษา เพื่อประคับประคอง และยืดเวลาออกใปให้ทารกสามารถเจริญเติบโต ในครรภ์คุณแม่ได้นานที่สุด หรือจนครบกำหนดได้ก็จะยิ่งดี แต่การรักษานั้นก็เป็นการดูแลเมื่อปลายเหตุแล้วนะครับ การป้องกันการคลอดก่อนกำหนด สามารถทำได้โดยการฝากครรภ์อย่างใกล้ชิด และการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมของคุณแม่ด้วย แต่แม้ว่าจะดูแลเป็นอย่างดีแล้ว ก็ยังมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้จากปัจจัยอื่นๆที่เราควบคุมไม่ได้ครับ
เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้รับรองยาชนิดหนึ่งซึ่งสามารถช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้เป็นครั้งแรก ชื่อว่า Makena (hydroxyprogesterone caproate) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งสงผลต่อสุขภาพของทารกแรกเกิดมากมายหลายประการ รวมถึงโอกาสรอดชีวิตของทารกด้วย
ยาชนิดนี้ถูกนำมาใช้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนด มาก่อนโดยการตั้งครรภ์ทารกคนเดียว ซึ่งเป็นผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนดซ้ำได้อีก และต้องเป็นการตั้งครรภ์ทารกคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากการตั้งครรภ์แฝดมีหลายสาเหตุที่จะส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด
โดยที่ยา Makena ได้ผ่านการศึกษาและทดลองทางคลินิก ในหญิงตั้งครรภ์ 463 ราย อายุตั้งแต่ 16 - 43 ปี ซึ่งเคยตั้งครรภ์ทารกคนเดียวและมีการคลอดก่อนกำหนดมาก่อน ในกลุ่มทดลอง หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับยาป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เกิดการคลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ร้อยละ 37 ในขณะที่หญิงตั้งครรภ์กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับยาป้องกัน เกิดการคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 55
ในการศึกษาระยะที่ 2 ได้ทำการประเมินพัฒนาการของทารกที่เกิดจากมารดาในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดังกล่าว ซึ่งพบว่าเมื่อเด็กแรกเกิดอายุ 2.5- 5 ขวบ ทั้งสองกลุ่มมีพัฒนาการไม่แตกต่างกัน และจะมีการติดตามศึกษาต่อไปในระยะที่ 3 ตามแผนการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2018
ยา Makena นั้นสามารถให้โดยการฉีดเข้าไปบริเวณสะโพกสัปดาห์ละครั้ง เริ่มฉีดเมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ และไม่ควรเริ่มหลังจาก 21 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ และจะสิ้นสุดการฉีดยาเมื่ออายุครรภ์ 37 สัปดาห์ อาการข้างเคียงที่อาจพบได้ ได้แก่ ความเจ็บปวด บวม และคัน บริเวณที่ฉีดยา อาจมีคลื่นใส้และท้องเสียได้ด้วย
สำหรับในประเทศไทย สถิติคลอดก่อนกำหนดมีจำนวน 64,000-80,000 คน/ปี ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว จึงถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องดูแลแก้ไข กลุ่มมารดาที่มีภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ได้แก่
• หญิงตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
• มีประวัติดื่มอัลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์
• ตั้งครรภ์แฝด มีปัญหารกเกาะต่ำ หรือมีความผิดปกติของมดลูก เช่น มีเนื้องอกที่มดลูกหรือปากมดลูกผิดปกติ ฯลฯ
• มีโรคประจำตัวเช่น โดยเฉพาะเบาหวาน ความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
• มีประวัติคลอดก่อนกำหนดมาก่อน มีโอกาสเป็นซ้ำ
• มีประวัติแท้งบุตรมาก่อน
คุณแม่สามารถช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนด โดยมาฝากครรภ์แต่เนิ่นๆเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ไปตรวจครรภ์ตามที่คุณหมอนัดนัด และทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ผักผลไม้สด และรับประทานโปรตีนให้เพียงพอ ไม่บริโภคแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็ช่วยลดโอกาสเกิดการคลอดก่อนกำหนดได้มาก และยังส่งผลให้คุณแม่และทารกมีสุขภาพแข็งแรงดีอีกด้วยครับ
ปกติแล้วคนเราตั้งครรภ์ครบกำหนดเมื่ออายุครรภ์ 40 สัปดาห์ หากคลอดในระหว่าง 37-42 สัปดาห์ยังถือว่ายังอยู่ในช่วงที่ทารกจะมีสุขภาพแข็งแรงดี หากเลยกำหนดคลอด 42 สัปดาห์ขึ้นไป รกจะมีการเสื่อมสภาพ ไม่สามารถส่งอาหารให้ทารกอย่างพอเพียง คุณหมอก็จะพิจารณาช่วยเร่งการคลอด หรือผ่าตัดคลอดให้แล้วแต่กรณี ส่วนการคลอดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์เต็ม จะถือเป็นการคลอดก่อนกำหนด ทารกที่คลอดก่อนกำหนดมากๆ จะยังไม่มีความสมบูรณ์ของร่างกายมากพอที่จะอยู่ภายนอกร่างกายของแม่ได้ จะต้องทำการช่วยเหลือในการปรับสิ่งแวดล้อม ให้ทารกสามารถปรับตัวและเจริญเติบโตต่อภายนอกครรภ์มารดาได้ เช่นให้ทารกอยู่ในตู้อบที่มีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส อาจต้องให้นมหรือสารอาหารต่างๆทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร หรือให้สารอาหารทางเส้นเลือด อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหากปอดของทารกยังไม่สมบูรณ์ดี เป็นต้น ซึ่งการที่ต้องเลี้ยงดูทารกใน NICU ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณแม่คนไหนอยากจะให้เป็น ทุกคนอยากให้เด็กคลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรงทั้งนั้น แต่บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาชีวิตของทั้งคุณแม่และทารก ก็อาจจำเป็นต้องให้คลอดก่อนกำหนด
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์และยังไม่ครบกำหนด แต่เริ่มมีอาการว่าจะคลอดก่อนกำหนด คุณหมอก็มักให้การรักษา เพื่อประคับประคอง และยืดเวลาออกใปให้ทารกสามารถเจริญเติบโต ในครรภ์คุณแม่ได้นานที่สุด หรือจนครบกำหนดได้ก็จะยิ่งดี แต่การรักษานั้นก็เป็นการดูแลเมื่อปลายเหตุแล้วนะครับ การป้องกันการคลอดก่อนกำหนด สามารถทำได้โดยการฝากครรภ์อย่างใกล้ชิด และการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมของคุณแม่ด้วย แต่แม้ว่าจะดูแลเป็นอย่างดีแล้ว ก็ยังมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้จากปัจจัยอื่นๆที่เราควบคุมไม่ได้ครับ
เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้รับรองยาชนิดหนึ่งซึ่งสามารถช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้เป็นครั้งแรก ชื่อว่า Makena (hydroxyprogesterone caproate) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งสงผลต่อสุขภาพของทารกแรกเกิดมากมายหลายประการ รวมถึงโอกาสรอดชีวิตของทารกด้วย
ยาชนิดนี้ถูกนำมาใช้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีประวัติการคลอดก่อนกำหนด มาก่อนโดยการตั้งครรภ์ทารกคนเดียว ซึ่งเป็นผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนดซ้ำได้อีก และต้องเป็นการตั้งครรภ์ทารกคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากการตั้งครรภ์แฝดมีหลายสาเหตุที่จะส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด
โดยที่ยา Makena ได้ผ่านการศึกษาและทดลองทางคลินิก ในหญิงตั้งครรภ์ 463 ราย อายุตั้งแต่ 16 - 43 ปี ซึ่งเคยตั้งครรภ์ทารกคนเดียวและมีการคลอดก่อนกำหนดมาก่อน ในกลุ่มทดลอง หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับยาป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เกิดการคลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ร้อยละ 37 ในขณะที่หญิงตั้งครรภ์กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับยาป้องกัน เกิดการคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 55
ในการศึกษาระยะที่ 2 ได้ทำการประเมินพัฒนาการของทารกที่เกิดจากมารดาในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดังกล่าว ซึ่งพบว่าเมื่อเด็กแรกเกิดอายุ 2.5- 5 ขวบ ทั้งสองกลุ่มมีพัฒนาการไม่แตกต่างกัน และจะมีการติดตามศึกษาต่อไปในระยะที่ 3 ตามแผนการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2018
ยา Makena นั้นสามารถให้โดยการฉีดเข้าไปบริเวณสะโพกสัปดาห์ละครั้ง เริ่มฉีดเมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ และไม่ควรเริ่มหลังจาก 21 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ และจะสิ้นสุดการฉีดยาเมื่ออายุครรภ์ 37 สัปดาห์ อาการข้างเคียงที่อาจพบได้ ได้แก่ ความเจ็บปวด บวม และคัน บริเวณที่ฉีดยา อาจมีคลื่นใส้และท้องเสียได้ด้วย
สำหรับในประเทศไทย สถิติคลอดก่อนกำหนดมีจำนวน 64,000-80,000 คน/ปี ซึ่งการคลอดก่อนกำหนดเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว จึงถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องดูแลแก้ไข กลุ่มมารดาที่มีภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ได้แก่
• หญิงตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
• มีประวัติดื่มอัลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์
• ตั้งครรภ์แฝด มีปัญหารกเกาะต่ำ หรือมีความผิดปกติของมดลูก เช่น มีเนื้องอกที่มดลูกหรือปากมดลูกผิดปกติ ฯลฯ
• มีโรคประจำตัวเช่น โดยเฉพาะเบาหวาน ความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
• มีประวัติคลอดก่อนกำหนดมาก่อน มีโอกาสเป็นซ้ำ
• มีประวัติแท้งบุตรมาก่อน
คุณแม่สามารถช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนด โดยมาฝากครรภ์แต่เนิ่นๆเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ไปตรวจครรภ์ตามที่คุณหมอนัดนัด และทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ผักผลไม้สด และรับประทานโปรตีนให้เพียงพอ ไม่บริโภคแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็ช่วยลดโอกาสเกิดการคลอดก่อนกำหนดได้มาก และยังส่งผลให้คุณแม่และทารกมีสุขภาพแข็งแรงดีอีกด้วยครับ
วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557
อยากตั้งครรภ์แล้วแต่กินยาคุมกำเนิดมานานต้องเตรียมตัวอย่างไร
สำหรับผู้ที่เคยกินยาคุมกำเนิดมานาน เมื่อถึงเวลาที่พร้อมที่จะตั้งครรภ์นั้น หลายคนอาจจะส่งสัยว่า หลังจากหยุดกินยาคุมแล้ว สามารถปล่อยให้ตั้งครรภ์ได้เลยหรือไม่ แล้วกินยาคุมมานานจะมีผลอะไรกับการตั้งครรภ์ไหม หรือกินยาคุมมานานจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ
ปล่อยให้ตั้งครรภ์หลังจากหยุดกินยาคุมกำเนิดได้หรือไม่
หลังจากที่คุณหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้วยังไม่แนะนำให้ปล่อยให้ตั้งครรภ์ทันที ควรจะปล่อยให้ผ่านไปสัก 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ระหว่าง 3 เดือนนี้ก็ควรจะคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นๆ แทน ซึ่งในช่วง 1-2 เดือนแรก คุณอาจจะไม่มีประจำเดือนก็ไม่ต้องตกใจนะค่ะเพราะคุณไม่ได้ตั้งครรภ์หรอกค่ะ เพียงแต่หลังจากหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้ว ประจำเดือนอาจจะมาล่าช้ากว่าเดิม เมื่อประจำเดือนเริ่มมาเป็นปกติ (ประจำเดือนเริ่มมาเป็นปกติ 3 เดือนขึ้นไป) ค่อยปล่อยให้ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติค่ะ ระหว่างนี้ก็คงต้องให้ว่าที่คุณพ่อมือใหม่คุมกำเนิดตัวเองไปก่อน (แนะนำว่าให้ใช้ถุงยางอนามัยไปก่อนช่วงนี้)
กินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะตั้งครรภ์ยากจริงไหม
ถ้าเป็นการกินยาคุมกำเนิดสมัยก่อน หากกินนานๆ จะมีผลทำให้ผนังมดลูกบาง ทำให้การตั้งครรภ์ (การฝังตัวอ่อน) เป็นไปได้ยาก อันนี้จริงค่ะ แต่ถ้าเป็นยาคุมกำเนิดสมัยใหม่เดี๋ยวนี้ปัญหาแบบนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ แต่หากคุณใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อย อันนี้มีผลต่อการตั้งครรภ์จริงค่ะ ดังนั้นหากคุณกินยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา (21 หรือ 28 เม็ด) มานาน ก็ไม่ต้องกังวลไปนะค่ะว่าจะตั้งครรภ์ยาก
กินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะมีผลต่อทารกในครรภ์ไหม
อันนี้เป็นอีกคำถามที่อยู่ในหัวของว่าที่คุณแม่มือใหม่ทุกคน และคงจะกังวลมากๆ เวลาที่จะเริ่มปล่อยให้ตั้งครรภ์ ความจริงแล้วการกินยาคุมกำเนิดนั้น หากเราหยุดกิน (หลังจากกินหมดแผงอย่างถูกต้อง) แล้วปล่อยระยะไว้ 3 เดือนขึ้นไป รอให้ประจำเดือนมาปรกติตามรอบเดือน แค่นี้ร่างกายของคุณก็พร้อมที่จะตั้งครรภ์แล้วค่ะ
ต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อพร้อมจะตั้งครรภ์
อย่างที่บอกไปค่ะ หลังจากหยุดกินยาคุมแล้ว เมื่อพร้อมจะตั้งครรภ์ ให้ปล่อยให้ประจำเดือนมาก่อนสัก 3 เดือน จากนั้นค่อยให้ตั้งครรภ์ ส่วนเรื่องการเตรียมตัวก็เหมือนคนทั่วๆ ไปค่ะ คือ การออกกำลังกายให้พอเหมาะ นอนหลับพักผ่อนให้มาก กินอาหารให้ครบ ดื่มน้ำให้มาก และอย่าเครียด ที่เหลือก็อาจจะใช้เครื่องมือเข้าช่วย เช่น ชุดทดสอบวันตกไข่ (ทดสอบจากน้ำปัสสาวะ) หรือถ้าไม่อยากกังวลหรือเครียดขนาดนั้น ก็บอกว่าที่คุณพ่อให้ส่งการบ้านบ่อยๆ ก็ได้นะค่ะ
สรุปแล้ว ความเชื่อที่ว่ากินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะตั้งครรภ์ยากนั้น ไม่ถูกต้องทีเดียวค่ะ ถ้าคุณกินยาคุมกำเนิดแบบปกติ ก็แค่หยุดรอให้ประจำเดือนมา 3 เดือนขึ้นไปแล้วค่อยปล่อยตามธรรมชาติ ส่วนความเชื่อที่ว่ากินยาคุมกำเนิดมานานๆ แล้วทารกในครรภ์จะพิการ สมองไม่ดี ฯลฯ อันนี้ก็ไม่เป็นความจริง ดังนั้นสบายใจได้ค่ะ
ขอบตุณที่มา babytrick.com
ปล่อยให้ตั้งครรภ์หลังจากหยุดกินยาคุมกำเนิดได้หรือไม่
หลังจากที่คุณหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้วยังไม่แนะนำให้ปล่อยให้ตั้งครรภ์ทันที ควรจะปล่อยให้ผ่านไปสัก 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ระหว่าง 3 เดือนนี้ก็ควรจะคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นๆ แทน ซึ่งในช่วง 1-2 เดือนแรก คุณอาจจะไม่มีประจำเดือนก็ไม่ต้องตกใจนะค่ะเพราะคุณไม่ได้ตั้งครรภ์หรอกค่ะ เพียงแต่หลังจากหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้ว ประจำเดือนอาจจะมาล่าช้ากว่าเดิม เมื่อประจำเดือนเริ่มมาเป็นปกติ (ประจำเดือนเริ่มมาเป็นปกติ 3 เดือนขึ้นไป) ค่อยปล่อยให้ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติค่ะ ระหว่างนี้ก็คงต้องให้ว่าที่คุณพ่อมือใหม่คุมกำเนิดตัวเองไปก่อน (แนะนำว่าให้ใช้ถุงยางอนามัยไปก่อนช่วงนี้)
กินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะตั้งครรภ์ยากจริงไหม
ถ้าเป็นการกินยาคุมกำเนิดสมัยก่อน หากกินนานๆ จะมีผลทำให้ผนังมดลูกบาง ทำให้การตั้งครรภ์ (การฝังตัวอ่อน) เป็นไปได้ยาก อันนี้จริงค่ะ แต่ถ้าเป็นยาคุมกำเนิดสมัยใหม่เดี๋ยวนี้ปัญหาแบบนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ แต่หากคุณใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อย อันนี้มีผลต่อการตั้งครรภ์จริงค่ะ ดังนั้นหากคุณกินยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา (21 หรือ 28 เม็ด) มานาน ก็ไม่ต้องกังวลไปนะค่ะว่าจะตั้งครรภ์ยาก
กินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะมีผลต่อทารกในครรภ์ไหม
อันนี้เป็นอีกคำถามที่อยู่ในหัวของว่าที่คุณแม่มือใหม่ทุกคน และคงจะกังวลมากๆ เวลาที่จะเริ่มปล่อยให้ตั้งครรภ์ ความจริงแล้วการกินยาคุมกำเนิดนั้น หากเราหยุดกิน (หลังจากกินหมดแผงอย่างถูกต้อง) แล้วปล่อยระยะไว้ 3 เดือนขึ้นไป รอให้ประจำเดือนมาปรกติตามรอบเดือน แค่นี้ร่างกายของคุณก็พร้อมที่จะตั้งครรภ์แล้วค่ะ
ต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อพร้อมจะตั้งครรภ์
อย่างที่บอกไปค่ะ หลังจากหยุดกินยาคุมแล้ว เมื่อพร้อมจะตั้งครรภ์ ให้ปล่อยให้ประจำเดือนมาก่อนสัก 3 เดือน จากนั้นค่อยให้ตั้งครรภ์ ส่วนเรื่องการเตรียมตัวก็เหมือนคนทั่วๆ ไปค่ะ คือ การออกกำลังกายให้พอเหมาะ นอนหลับพักผ่อนให้มาก กินอาหารให้ครบ ดื่มน้ำให้มาก และอย่าเครียด ที่เหลือก็อาจจะใช้เครื่องมือเข้าช่วย เช่น ชุดทดสอบวันตกไข่ (ทดสอบจากน้ำปัสสาวะ) หรือถ้าไม่อยากกังวลหรือเครียดขนาดนั้น ก็บอกว่าที่คุณพ่อให้ส่งการบ้านบ่อยๆ ก็ได้นะค่ะ
สรุปแล้ว ความเชื่อที่ว่ากินยาคุมกำเนิดมานานๆ จะตั้งครรภ์ยากนั้น ไม่ถูกต้องทีเดียวค่ะ ถ้าคุณกินยาคุมกำเนิดแบบปกติ ก็แค่หยุดรอให้ประจำเดือนมา 3 เดือนขึ้นไปแล้วค่อยปล่อยตามธรรมชาติ ส่วนความเชื่อที่ว่ากินยาคุมกำเนิดมานานๆ แล้วทารกในครรภ์จะพิการ สมองไม่ดี ฯลฯ อันนี้ก็ไม่เป็นความจริง ดังนั้นสบายใจได้ค่ะ
ขอบตุณที่มา babytrick.com
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
เรื่องหวานชื่นของลูกกับจุกนมหลอก
เรื่องหวานชื่นของลูกกับจุกนมหลอก
การเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยสำหรับ คุณแม่มือใหม่ อาจจะเปรียบเหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อลูกร้องทีไร ก็ต้องตั้งสมมติฐานกันไว้ก่อนว่าลูกเป็นอะไร เมื่อคาดเดาได้รางๆ แล้วก็ต้องทำการทดลองดูสิว่าจะทำอย่างไรให้ลูกน้อยหยุดร้องไห้ ให้นมแล้วยังไม่หยุด ให้นมแล้วก็ยังคงร้องให้ สุดท้ายคุณแม่ใช้ไม้ตายที่ไม่เคยคิดว่าจะใช้ นั่นคือ หยิบจุกนมหลอก มาใส่ปากให้เจ้าตัวน้อยดูดเท่านั้นล่ะเสียงร้องไห้ก็หายไป เจ้าตัวเล็กสงบลง และดูจะถูกใจกับเจ้าจุกนมหลอกเอามากๆ เมื่อการทดลองประสบผลสำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเจ้าตัวน้อยอยู่ที่ไหนเป็นต้องเห็นพี่จุกนมหลอกอยู่ เคียงข้าง โดยมีคุณแม่กังวลใจอยู่ไม่ห่างเช่นกัน
เรื่องทุกอย่างเหมือนเหรียญที่ย่อมมีสองด้าน จุกนมหลอกก็มีทั้งข้อเสียและข้อดีเช่นกัน ฉะนั้นก่อนที่คุณแม่จะปักใจเชื่อว่า ความรักของเจ้าตัวเล็กกับจุกนมหลอกเป็นรักต้องห้าม เรามาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกันก่อนดีกว่า
Good | Bad |
ช่วยให้เจ้าตัวน้อยหายงอแงได้ | หากลูกติดจุกนมยางในช่วงเดือนแรกๆ อาจทำให้เกิดปัญหาต่อการเลี้ยงลูกด้วยนม |
ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น เมื่อลูกหิว คุณแม่อาจให้ลูกดูดจุกนมยาง ขณะที่ไปเตรียมนมให้ลูก หรือ เบี่ยงเบนเมื่อลูกกำลังจะฉีดวัคซีน | เจ้าตัวน้อยอาจตื่นมาร้องไห้กลางดึกบ่อยๆ หากดูดจุกนมยางจนหลับไป แล้วจุกนมยางหลุดออกจากปาก |
ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ง่ายขึ้น | หนูน้อยอาจนอนหลับเองไม่ได้ หากไม่มีจุกนมยาง |
มีงานวิจัยที่พบว่า การดูดจุกนมยางขณะหลับช่วยลดความเสี่ยงของภาวะไหลตายในเด็ก (SIDS) ได้ | เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง อย่างไรก็ตาม สถิติการติดเชื้อที่หูในทารกนั้นมีไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับภาวะ SIDS |
การติดจุกนมยางเลิกง่ายกว่าปล่อยให้ลูกติดดูดนิ้ว | การติดจุกนมยางนานเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาทางทันตกรรมได้ |
จุกนมหลอกจำเป็นหรือไม่สำหรับทารก หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่าทารกจำเป็นจะต้องได้รับการปลอบประโลมและทำให้ รู้สึกอุ่นใจผ่อนคลาย จุกนมหลอกก็เป็นผู้ช่วยที่ดีทางหนึ่ง แต่เราขอแนะนำว่าให้เป็นทางเลือกท้ายๆ เมื่อคุณแม่ทำทุกวิธีแล้วลูกก็ยังคงงอแงอยู่จะดีกว่า
ติดจุกนมหลอกแล้ว เลิกยากหรือเปล่า เด็กๆ จะเลิกติดจุกนมหลอกได้เอง เมื่ออายุ 6-9 เดือน ซึ่งเป็นวัยที่หนูน้อยเริ่มคลานและหันไปสนใจสิ่งอื่นๆ แทน หากเห็นว่าลูกเริ่มไปสนใจสิ่งอื่นแล้ว ก็ควรหยุดที่จะหยิบยื่นจุกนมหลอกให้ลูกอีก อย่างไรก็ตามหนูน้อยยังอาจต้องการเจ้าจุกนมหลอกเป็นเพื่อนในเวลานอน แต่ทั้งนี้เด็กๆ จะเลิกดูดจุกนมหลอกโดยสิ้นเชิง เมื่ออายุ 2 ปีค่ะ
Pacifier Safety - หากคุณตกลงใจให้ลูกใช้จุกนมหลอกก็ควรดูแลเรื่องความสะอาดและปลอดภัยเป็นพิเศษด้วย
ควรล้างจุกนมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หรือเมื่อใดก็ตามที่ตกลงพื้นหรือสกปรก โดยล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่
ไม่ควรผูกเชือกหรือริบบิ้นยาวๆ ติดกับจุกนมหลอก แล้วแขวนคอ หรือผูกข้อมือลูกไว้ เพราะเชือกอาจรัดคอลูกได้
จุกนมหลอกที่ขาดหรือชำรุด ควรทิ้งทันที และควรเปลี่ยนจุกนมหลอกให้ลูกใหม่ทุกๆ 2 เดือน
หากลูกเริ่มเคี้ยวจุกนมหลอก คุณควรเปลี่ยนให้ลูกใช้ของเล่นยางที่ทำขึ้นมาสำหรับให้ทารกกัดแทน
เลือกซื้อจุกหลอกที่ทำจากวัสดุชิ้นเดียว และมีฝาปิดซึ่งมีรูเพื่อระบายอากาศด้วย
แตงโมคลายร้อน (Mother&Care) เพื่อลูกน้อย
แตงโมคลายร้อน (Mother&Care)
ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงในโถปั่นน้ำผลไม้ จากนั้นจึงกดปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แก้วพร้อมดื่มคลายร้อน
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
เมนูแกงจืดเด็กเส้น
แกงจืดเด็กเส้น
ส่วนผสม
วุ้นเส้นห่อเล็ก (แช่น้ำ) 1 ห่อ
หมูสับ 100 กรัม
ฟองเต้าหู้แช่น้ำ (หั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 2-3 นิ้ว) ½ ถ้วยตวง
เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ 3-4 ดอก
เห็ดหูหนู 3 ดอก
ดอกไม้จีนแห้ง 10 ดอก
กระเทียมกลีบเล็ก 10 กลีบ
พริกไทย 7 เม็ด
รากผักชี 2-3 ราก
วิธีทำ
1.แบ่งกระเทียม พริกไทย และรากผักชี เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกบุบแค่พอแตกตักขึ้นพักไว้ อีกส่วนตำให้ละเอียด
2.หมักหมูสับโดยใช้กระเทียม พริกไทย รากผักชีที่ตำละเอียด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทรายคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน
3.นำดอกไม้จีนไปแช่น้ำจนนิ่ม จากนั้นล้างน้ำทิ้งสัก 1-2 น้ำ แล้วจึงมัดดอกไม้จีนให้เป็นปม พักไว้
4.วุ้นเส้นที่แช่น้ำจนนิ่มแล้ว ให้ใช้มีดหรือกรรไกรตัดแบ่งความยาวเพื่อสะดวกในการกิน จากนั้นจึงนำไปต้มจนสุก
5.ตั้งน้ำสะอาดใส่หม้อ พอเดือดจึงใส่กระเทียมพริกไทย และรากผักชีที่บุบเตรียมไว้ลงไป ตามด้วยหมูสับปั้นเป็นก้อน ๆ หย่อนลงไปต้ม คอยช้อนฟองออก
6.พอหมูเริ่มสุกและช้อนฟองออกจนหมดแล้ว จึงใส่เห็ดหอม, เห็ดหูหนู, ดอกไม้จีน และฟองเต้าหู้ลงไปต้ม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทรายเล็กน้อย รอจนเดือด จึงใส่ต้นหอมลงไป ค่อยปิดแก๊ส
7.ตักวุ้นเส้นใส่ถ้วยตามด้วยแกงจืดที่ต้มเตรียมไว้โรยหน้าด้วยพริกไทยป่นเล็กน้อย หรืออาจใส่วุ้นเส้นที่แช่น้ำจนนิ่มแล้ว ลงไปต้มแกงจืดได้เลย โดยใส่พร้อมกับเห็ดหอม, เห็ดหูหนู, ดอกไม้จีน และฟองเต้าหู้
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.101 พฤษภาคม 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
เมนูไข่น้ำเนื้อนุ่ม
ไข่น้ำเนื้อนุ่ม
ส่วนผสม
ไข่แดง 1 ฟอง
ผักปวยเล้งสับละเอียด 1-2 ช้อนชา
นมที่ลูกดื่ม ¼ ถ้วยตวง
น้ำซุป 1 ถ้วยตวง
น้ำมัน
วิธีทำ
1.ตอกไข่ใส่ชาม ใช้เฉพาะไข่แดง จากนั้นใส่ผักปวยเล้ง และนมที่ลูกดื่มลงไป ตีให้ส่วนผสมเข้ากัน
2.ตั้งกระทะเติมน้ำมันเล็กน้อย พอกระทะเริ่มร้อน จึงเทไข่ที่ตีแล้วลงไป ใช้ตะหลิวยี ๆ เหมือนทำไข่กวนจนไข่เป็นชิ้นเล็ก ๆ
3.พอไข่สุก ให้เติมน้ำซุปลงไป รอจนน้ำซุปเลือด จึงยกขึ้นพร้อมเสิร์ฟ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.100 เมษายน 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
ส่วนผสม
ไข่แดง 1 ฟอง
ผักปวยเล้งสับละเอียด 1-2 ช้อนชา
นมที่ลูกดื่ม ¼ ถ้วยตวง
น้ำซุป 1 ถ้วยตวง
น้ำมัน
วิธีทำ
1.ตอกไข่ใส่ชาม ใช้เฉพาะไข่แดง จากนั้นใส่ผักปวยเล้ง และนมที่ลูกดื่มลงไป ตีให้ส่วนผสมเข้ากัน
2.ตั้งกระทะเติมน้ำมันเล็กน้อย พอกระทะเริ่มร้อน จึงเทไข่ที่ตีแล้วลงไป ใช้ตะหลิวยี ๆ เหมือนทำไข่กวนจนไข่เป็นชิ้นเล็ก ๆ
3.พอไข่สุก ให้เติมน้ำซุปลงไป รอจนน้ำซุปเลือด จึงยกขึ้นพร้อมเสิร์ฟ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.100 เมษายน 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
ข้าวกล้องเด็กน้อย
ข้าวกล้องเด็กน้อย
ส่วนผสม
ข้าวกล้องตุ๋น 2 ช้อนโต๊ะ
หัวไชท้าวปอกเปลือก (กะความยาวประมาณ 2 นิ้ว) 1 ท่อน
มะเขือเทศขนาดกลาง 1 ลูก
ไข่แดงต้มสุก ½ ฟอง
น้ำซุป
วิธีทำ
1.ต้มหัวไชท้าวและมะเขือเทศจนสุก จากนั้นนำมาครูดกับตะแกรง ใส่ถ้วยพักไว้
2.นำข้าวกล้องตุ๋น หัวไชท้าวครูด มะเขือเทศครูด และไข่แดงใส่หม้อต้ม เติมน้ำซุปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แห้งจนเกินไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตั้งไฟจนเดือดจึงยกขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.101 พฤษภาคม 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
ส่วนผสม
ข้าวกล้องตุ๋น 2 ช้อนโต๊ะ
หัวไชท้าวปอกเปลือก (กะความยาวประมาณ 2 นิ้ว) 1 ท่อน
มะเขือเทศขนาดกลาง 1 ลูก
ไข่แดงต้มสุก ½ ฟอง
น้ำซุป
วิธีทำ
1.ต้มหัวไชท้าวและมะเขือเทศจนสุก จากนั้นนำมาครูดกับตะแกรง ใส่ถ้วยพักไว้
2.นำข้าวกล้องตุ๋น หัวไชท้าวครูด มะเขือเทศครูด และไข่แดงใส่หม้อต้ม เติมน้ำซุปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แห้งจนเกินไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตั้งไฟจนเดือดจึงยกขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.101 พฤษภาคม 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
เมนูสลัดรวมพลัง &โครเก็ตเจ้าปลาน้อย
สลัดรวมพลัง
ส่วนผสม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เนื้อกุ้งหั่นชิ้นเล็ก ๆ 3 ตัว
แครอทหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดถั่วลันเตา 1 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดถั่วแดง 1 ช้อนโต๊ะ
ขนมปังโฮลวีตอบกรอบ (หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำสลัดสำเร็จรูป 1-2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1.ต้มไข่ให้สุกแล้วนำมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
2.ลวกเนื้อกุ้งจนสุก ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
3.ต้มแครอท เมล็ดข้าวโพด เมล็ดถั่วลันเตา และเมล็ด ถั่วแดงให้สุก พักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
4.นำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้รวมทั้งขนมปังโฮลวีต อบกรอบใส่ในชามผสม ใส่น้ำสลัดลงไป เคล้าส่วนผสมให้เข้ากันเบา ๆ ตักใส่ชามพร้อมให้เด็ก ๆ หม่ำ
อาหารเด็ก
โครเก็ตเจ้าปลาน้อย
ส่วนผสม
เนื้อปลากะพงหั่นเต๋า ½ ถ้วยตวง
มันฝรั่ง 1 หัวกลาง
หัวหอมใหญ่สับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
แครอทสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เนยจืด, เกลือป่น, พริกไทยป่น, แป้งสาลี, เกล็ดขนมปัง, น้ำมันสำหรับทอด
วิธีทำ
1.ตั้งน้ำลวกปลากะพง พอสุกให้ตักขึ้นพักไว้ จากนั้นนำเนื้อปลามายีให้ละเอียด
2.ปอกเปลือกล้างมันฝรั่ง ให้เป็นชิ้น ๆ นำไปต้มจนสุก จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด
3.ตั้งกระทะใส่เนยจืดลงไปเล็กน้อย ใส่หัวหอมใหญ่และแครอทลงไปผัดจนสุก
4.นำมันฝรั่งและปลากะพงที่เตรียมไว้มาใส่ในชามผสม จากนั้นนำหัวหอมใหญ่และแครอทที่ผัดไว้เทลงไป ใส่เกลือป่นและพริกไทยเล็กน้อย เคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ๆ
5.เทแป้งสาลีและเกล็ดขนมปังแยกจานเตรียมไว้ พร้อมตีไข่ไก่ใส่ชาม
6.ตั้งน้ำมันสำหรับทอด ระหว่างรอน้ำมันร้อนให้นำโครเก็ตที่ปั้นไว้ มาเคล้ากับแป้งสาลีบาง ๆ แล้วนำไปชุบไข่ จากนั้นนำมาเคล้ากับเกล็ดขนมปัง
7.พอน้ำมันร้อน จึงใส่โครเก็ตลงไปทอด รอจนสุกเหลืองจึงตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วจึงจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ อาจกินคู่กับซอสมะเขือเทศหรือมายองเนส
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.100 เมษายน 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
ส่วนผสม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เนื้อกุ้งหั่นชิ้นเล็ก ๆ 3 ตัว
แครอทหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดถั่วลันเตา 1 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดถั่วแดง 1 ช้อนโต๊ะ
ขนมปังโฮลวีตอบกรอบ (หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำสลัดสำเร็จรูป 1-2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1.ต้มไข่ให้สุกแล้วนำมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
2.ลวกเนื้อกุ้งจนสุก ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
3.ต้มแครอท เมล็ดข้าวโพด เมล็ดถั่วลันเตา และเมล็ด ถั่วแดงให้สุก พักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
4.นำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้รวมทั้งขนมปังโฮลวีต อบกรอบใส่ในชามผสม ใส่น้ำสลัดลงไป เคล้าส่วนผสมให้เข้ากันเบา ๆ ตักใส่ชามพร้อมให้เด็ก ๆ หม่ำ
อาหารเด็ก
โครเก็ตเจ้าปลาน้อย
ส่วนผสม
เนื้อปลากะพงหั่นเต๋า ½ ถ้วยตวง
มันฝรั่ง 1 หัวกลาง
หัวหอมใหญ่สับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
แครอทสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เนยจืด, เกลือป่น, พริกไทยป่น, แป้งสาลี, เกล็ดขนมปัง, น้ำมันสำหรับทอด
วิธีทำ
1.ตั้งน้ำลวกปลากะพง พอสุกให้ตักขึ้นพักไว้ จากนั้นนำเนื้อปลามายีให้ละเอียด
2.ปอกเปลือกล้างมันฝรั่ง ให้เป็นชิ้น ๆ นำไปต้มจนสุก จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด
3.ตั้งกระทะใส่เนยจืดลงไปเล็กน้อย ใส่หัวหอมใหญ่และแครอทลงไปผัดจนสุก
4.นำมันฝรั่งและปลากะพงที่เตรียมไว้มาใส่ในชามผสม จากนั้นนำหัวหอมใหญ่และแครอทที่ผัดไว้เทลงไป ใส่เกลือป่นและพริกไทยเล็กน้อย เคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ๆ
5.เทแป้งสาลีและเกล็ดขนมปังแยกจานเตรียมไว้ พร้อมตีไข่ไก่ใส่ชาม
6.ตั้งน้ำมันสำหรับทอด ระหว่างรอน้ำมันร้อนให้นำโครเก็ตที่ปั้นไว้ มาเคล้ากับแป้งสาลีบาง ๆ แล้วนำไปชุบไข่ จากนั้นนำมาเคล้ากับเกล็ดขนมปัง
7.พอน้ำมันร้อน จึงใส่โครเก็ตลงไปทอด รอจนสุกเหลืองจึงตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วจึงจัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ อาจกินคู่กับซอสมะเขือเทศหรือมายองเนส
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Vol.9 No.100 เมษายน 2556
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
แตงโมคลายร้อน (Mother&Care) เพื่อลูกน้อย
แตงโมคลายร้อน (Mother&Care)
ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงในโถปั่นน้ำผลไม้ จากนั้นจึงกดปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แก้วพร้อมดื่มคลายร้อน
(เสื้อผ้าเด็ก, เสื้อผ้าเด็กราคาถูก ,เสื้อผ้าเด็กอ่อน, เสื้อผ้าเด็กน่ารัก, เสื้อผ้าเด็กเล็ก, ชุดเด็ก, เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)