ต้นตอของปัญหาความรุนแรงในเยาวชน
“เด็กวัยรุ่นยกพวกตีกัน บาดเจ็บระนาว”
“คลิปวิดีโอฉาว นักเรียนหญิงยกพวกตีกัน”
“วัยรุ่นสาวใช้น้ำร้อนสาดหน้าคู่กรณีในร้านสะดวกซื้อ”
นี่
คือข่าวคราวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราได้ยินได้ฟังกันซ้ำๆ
ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าดูเผินๆ
ประเด็นปัญหาของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่การใช้ความรุนแรงในการแก้
ปัญหาของเด็กวัยรุ่นยุคนี้ แต่จริงๆ
แล้วปัญหาความรุนแรงนั้นเป็นเพียงปลายเหตุ ขณะที่สาเหตุที่แท้จริงอยู่ที่ “ปัญหาการรังแกกัน” ระหว่างเด็กกับเด็กด้วยกันเองซึ่งเป็นปัญหาที่มีมาช้านานแล้ว แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงและขาดการดูแลป้องกันปัญหาอย่างจริงจัง
สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้
วิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหาของการรังแกกันอย่างละเอียด
เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหานี้อย่างชัดเจน
รวมถึงเสนอแนะวิธีการที่เป็นประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้ลูกของเราถูกรังแก
และไม่ไปรังแกผู้อื่น
โดยในเบื้องต้นคุณสรรพสิทธิ์ได้แบ่งลักษณะของการรังแกกันเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. เด็กจำนวนมากรังแกเด็กจำนวนน้อย
2. เด็กจำนวนน้อยรังแกเด็กจำนวนมาก
3. เด็กยกพวกตีกัน
เด็กจำนวนมากรังแกเด็กจำนวนน้อย : สาเหตุมาจากสังคมเลือกปฏิบัติ
กลุ่มแรก คือ
เด็กจำนวนมากรังแกเด็กจำนวนน้อย
ต้นตอของปัญหานี้มาจากสังคมที่เลือกปฏิบัติ
การเลือกปฏิบัติเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลึกซึ้ง
มีความเป็นมาที่ยาวนานเพราะมีทั้งส่วนที่เป็นเรื่องของขนบธรรมเนียม
วัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละสังคมที่มีความแตกต่างกัน
จุดหนึ่งที่สำคัญมากคือ การที่สังคมมีลักษณะของการเสี้ยมสอนเรื่อง “คนละพวก” ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขทางศาสนา เชื้อชาติ สัญชาติ ฯลฯ พื้นฐานเหล่านี้ก่อให้เกิดการใช้ความรุนแรง คล้ายกับกติกาของฝูงสัตว์
แม้
จะเป็นสุนัขป่าด้วยกัน ถ้าตัวอื่นหลงฝูงเข้ามา จะถูกรุมฆ่าหรือทำร้ายขับไล่
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องหนีให้พ้นจากเขตของฝูงนี้
จะมาอยู่ในบริเวณที่ฝูงนี้ครอบครองอยู่ไม่ได้
นี่เป็นสัญชาติญาณของการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด เป็นระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ผู้เข้มแข็งจึงจะอยู่รอด เพราะฉะนั้นถ้ารวมกลุ่มรวมฝูงกันแล้ว
ก็จะต้องไปทำลายกลุ่มอื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่กลุ่มเดียว
ทีนี้มนุษย์เวลามาเป็นสัตว์สังคม
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องนำกติกานี้เข้ามาใช้ด้วย มนุษย์มีกฎเกณฑ์กติกาทางสังคม
แต่
สังคมมนุษย์บางกลุ่มกลับกลายเป็นว่ายังใช้กติกาของป่าอยู่ คือ
มีการแก่งแย่งชิงดี มีการแบ่งพวกถ้าคนอื่นหลงไปอยู่ในกลุ่ม
ก็จะถูกรุมทำร้ายไม่ยอมให้อยู่
สังคมแบบนี้สามารถเห็นจากกการรวมกลุ่มในสังคมญี่ปุ่นที่ชัดเจนกว่าทุกสังคม
ในโลก
กลุ่มเด็กญี่ปุ่นจะมีลักษณะของการกีดกันหรือทำร้ายรังแกเด็กอื่นที่มีอะไร
แตกต่างจากตน ซึ่งเป็นเด็กส่วนใหญ่ของกลุ่ม
เพราะว่าสังคมญี่ปุ่นจะทำอะไรต้องทำเป็นกลุ่ม
จำลองสถานการณ์ของป่าเข้ามาในสังคมมนุษย์ ถ้าแตกกลุ่มไปเมื่อไร
ก็จะไม่สามารถอยู่ได้ เพราะฉะนั้นต้องรวมกลุ่ม
พื้น
ฐานตรงนี้จะตอบคำถามว่าทำไมเด็กจำนวนมากไปรุมรังแกเด็กจำนวนน้อย สาเหตุคือ
เด็กจำนวนน้อยมีอะไรที่แตกต่างไป อันดับแรกคือ การเรียน
เด็กที่เรียนอ่อนจะถูกกีดกันจากเด็กที่เรียนดี
เพราะถ้าเข้ากลุ่มแล้วอาจจะฉุดคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มลงไป
เพราะฉะนั้นเด็กที่เรียนดีหรือเรียนปานกลางขึ้นไปจะไม่ต้องการรวมกลุ่มกับ
เด็กที่เรียนอ่อน อีกตัวอย่างคือเด็กต่างจังหวัดไปเข้าเรียนในโรงเรียนคนรวย
มันจะเกิดการเลือกปฏิบัติ ไม่มีใครคบหาสมาคมกับเด็กจน
เด็กคนนี้อาจจะได้ทุนการศึกษาพิเศษมา แต่เพื่อนคนอื่นเป็นลูกคนรวยหมด
แค่เขาจะไปเที่ยวไหนกันก็ไปด้วยไม่ได้ เพราะไม่มีเงินจ่าย
หรือในการเลี้ยงดูเด็กโดยทั่วไป
พ่อ
แม่ผู้ปกครองมักจะเลี้ยงดูเด็กให้มีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลอื่น
เช่นบอกว่าเด็กว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกเรา พวกนั้นจนอย่าไปยุ่งกับมัน
กลายเป็นพื้นฐานว่าครอบครัวกับสังคม เสี้ยมสอนให้เด็กมีการเลือกปฏิบัติ
ไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยวิธีการเหมือนๆ กัน
แต่จะเลือกปฏิบัติดีเฉพาะต่อคนที่ตัวเองยอมรับไม่ใช่คนที่อยู่นอกกรอบที่ตัว
เองกำหนด กรอบที่ว่านี้อาจจะป็นกรณีคนละเชื้อชาติ คนละศาสนา
เด็กพิการกับเด็กปกติ เด็กที่มีปัญหาส่วนตัวบางอย่าง เช่น
ปัญหาการเรียนรู้กับนักเรียนที่ไม่มีปัญหา
นอก
จากเลือกปฏิบัติต่อคนอื่นแล้วบางทีพ่อแม่ก็เลือกปฏิบัติต่อลูก
ปฏิบัติต่อลูกรักดีเยี่ยม แต่ปฏิบัติต่อลูกชังเลวร้าย
ก็จะเกิดการรังแกกันระหว่างลูก 2 คน
ถ้าสมมติลูกรักแก่กว่าก็จะข่มเหงรังแกลูกชังเพราะรู้สึกว่า
คนนี้ไม่มีคุณค่าอะไรในบ้าน ไม่มีใครต้องการ
แม้แต่พ่อแม่ก็แสดงออกตัวลูกรักก็จะรังแกคนนี้ แม้แต่อายุอาจจะน้อยกว่า
ไม่แข็งแรงเท่าแต่ก็จะรังแกด้วยการยืมมือผู้ใหญ่ เช่น
แกล้งทำเป็นร้องไห้ทั้งๆ
ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อให้ผู้ใหญ่มาทำร้ายคนเป็นพี่
หรือตรงกันข้ามถ้าลูกรักเป็นเด็กตัวเล็ก ลูกชังเป็นพี่ พี่ก็จะมารังแกน้อง
การเลือกปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองจำนวนมากสร้างสมถ่ายทอดให้แก่
เด็กโดยไม่รู้ตัว
เด็กเป็นอันธพาลเพราะถูกทารุณกรรมและปล่อยปละละเลยทอดทิ้ง
กลุ่มที่สอง เด็ก
จำนวนน้อยรังแกเด็กจำนวนมาก
มีสาเหตุมาจากเด็กจำนวนน้อยมีปัญหาทั้งเรื่องพฤติกรรมหรือสุขภาพจิต
โดยเฉพาะเด็กที่ถูกปล่อยปละละเลย ทอดทิ้งจากพ่อแม่ผู้ปกครอง
หรืออาจถูกพ่อแม่กระทำทารุณกรรม ทำให้เด็กเหล่านี้เกิดโรคเครียด
ทำให้มีอาการกลัว โกรธผู้กระทำ แต่ไม่สามารถตอบโต้ได้ ก็มีความเคียดแค้น
เกิดความกังวลว่าจะถูกกระทำซ้ำอีก ความรู้สึก 3 อย่างนี้เมื่อเกิดขึ้นซ้ำๆ
อย่างต่อเนื่องทำให้เป็นโรคเครียด พอเป็นโรคเครียดก็มีอารมณ์แปรปรวน
ต่อต้านสังคม ทำอะไรหุนหันขาดความยั้งคิด มีแนวโน้มใช้ความรุนแรง
หวาดระแวงว่าคนอื่นจะคิดร้ายก็เลยชิงไปทำร้ายเขาก่อน
เด็กพวกนี้เราจะเรียกกันว่า เด็กหัวโจกอันธพาล
เป็นเด็กส่วนน้อยที่ไปรังแกเด็กส่วนใหญ่ รังแกทีละคน
เด็กยกพวกตีกัน : ผลผลิตของสังคมเลือกปฏิบัติและทอดทิ้งเด็ก
กลุ่มที่สาม เด็ก
ยกพวกตีกัน เป็นเด็กที่มีความคาบเกี่ยวกับเด็ก 2 กลุ่มแรก มีองค์ประกอบจาก 2
ประเด็นคือ หนึ่ง เด็กเหล่านี้ถูกปล่อยปละละเลยทอดทิ้ง
เด็กต้องการคนแนะแนวทางชีวิต เมื่อไม่มีใครเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ก็จะมารวมกลุ่มกันเพื่อยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน
เด็กเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นมีพัฒนาการในการรวมกลุ่มกันเป็นพื้นอยู่แล้ว
โดยจะมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น
ในขณะเดียวกันก็จำลองเอาสัญชาตญาณอย่างสัตว์เข้ามา คือ การมีฝูง มีอาณาเขต
มีสัญลักษณ์ของฝูง หรือของกลุ่ม
ถ้าคนนอกกลุ่มล้ำอาณาเขตเข้ามาจะต้องถูกทำร้าย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กบางคนไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนแต่ฆ่ากันได้โดยไม่
รู้สึกผิด ความรู้สึกแบบนี้ถูกสร้างขึ้นโดยวัฒนธรรมของกลุ่ม
แรงยึดเหนี่ยวของกลุ่มคล้ายๆ กับในภาคใต้ ในอิรักที่มีการระเบิดพลีชีพ
เด็กกลุ่มนี้มีลักษณะผสมผสานกัน
การแก้ไขก็สลับซับซ้อนมากเนื่องจากจะต้องให้สังคมทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน
แก้ไขป้องกันปัญหา ครอบครัวเพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอ
ที่ต้องให้สังคมทั้งหมดเข้ามาจัดการแก้ไขเพราะมีองค์ประกอบสำคัญร่วมกัน
จากเด็กที่ไม่ยอมรับความแตกต่าง มาสู่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลย
เมื่อสองปัญหานี้มารวมกันก็มีความรุนแรง
ภัยจากการรังแก : ความเสียหายใหญ่หลวงต่อทรัพยากรบุคคลของประเทศชาติ
เด็ก
ที่ถูกรังแกบ่อยๆ อาจจะมีปัญหาด้านสติปัญญา หรือปัญหาพิการบางอย่าง เช่น
การที่สมองส่วนหน้าไม่อาจทำงานเช่นปกติ อาจมีปัญหาการพัฒนากระบวนความคิด (Cognitive Development) ร่าง
กายอาจเล็กแคระแกร็นซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากภาวะขาดอาหาร
หรือการมีความผิดปกติของฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นผลจากถูกพ่อแม่กระทำ
ก็ทำให้เขามีพฤติกรรมไม่เหมือนเด็กทั่วไป คนทั่วๆ
ไปไม่เข้าใจอาจรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กแปลกๆ
ก็เลยรู้สึกสนุกที่จะไปข่มเหงรังแก เด็กที่โดนรังแกเหล่านี้
พฤติกรรมจะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เราเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
เช่น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีผู้ยิงเพื่อนตายไปนับสิบๆ คน
เพราะมีพื้นฐานถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อเกิดความผิดปกติทางจิตใจสะสมกันยาวนานก็เอาปืนมาฆ่าคน
มันสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่ไม่เอื้ออาทรกัน
นอกจากกีดกันคนที่มีความแตกต่างจากตนแล้ว ยังพยายามทำลายหรือรังแก
เพื่อกดดันให้ออกจากกลุ่มไป เหมือนวิธีการของฝูงสัตว์
ถ้าตัวอื่นหลงฝูงมาก็จะเข้าไปรุมทำร้าย ถ้าหนีไม่ทันก็ตามตามสัญชาติญาณป่า
ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของสมองแบบ Reptile ไม่
ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรองด้วยเหตุผลว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น
ทั้งนี้เพราะเด็กจำนวนมากไม่ได้ถูกฝึกให้คิดไตร่ตรองหาเหตุผลหรือรู้จัก
ยับยั้งตนเอง หากเราปล่อยให้มีการรังแกกันมากๆ
ก็จะบ่มเพาะเด็กที่มีพฤติกรรมเลวร้ายในการการรังแกคนอื่นและเด็กที่ถูกรังแก
ก็จะเก็บกด
แล้ววันหนึ่งถึงจุดระเบิดก็อาจจะก่อผลเสียหายร้ายแรงในภายหลังอย่างที่เป็น
ข่าวได้
พ่อแม่จะปลูกฝังลูกอย่างไรไม่ให้ไปรังแกคนอื่น
1. พ่อแม่ควรปรับพฤติกรรมตัวเองก่อนในการเลือกปฏิบัติ แล้ว
ต้องสอนให้เด็กยอมรับความแตกต่าง เช่น พอให้อะไรพี่
น้องก็จะร้องเอาแบบเดียวกันกับพี่
ต้องให้น้องเข้าใจว่าตัวเองยังไม่เติบโตพอจะใช้ของแบบเดียวกับพี่ใช้
พ่อแม่ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจ ไม่ใช่ทำไมไม่ตามใจน้อง
ให้น้องไปก่อนเดี๋ยวไปซื้อมาใหม่
ทำให้เด็กไม่เรียนรู้ว่าคนต้องมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันได้
คนแต่ละคนมีขอบเขตที่เหมาะสมทางด้านร่างกาย จิตใจ
สังคมที่แตกต่างกันตามวุฒิภาวะ ตามสถานภาพทางสังคมหรืออื่นๆ
ตรงนี้เด็กจะต้องเรียนรู้ว่าเป็นเรื่องปกติ
คนจนกับคนรวยก็นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันได้
2. สอนให้ลูกเรียนรู้ว่าความแตกต่างเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่าง
เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปรู้สึกว่าอันนี้ดีไม่ดี
เช่น คนๆ นี้จะหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร
มันไม่เกี่ยวกับเราแต่มันเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ ธรรมชาติทำมาอย่างนี้
เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องไปชอบหรือเกลียดไปให้คุณค่าว่าดีหรือไม่ดี
แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักทำตรงกันข้าม เช่น
บอกลูกว่าอย่าไปเล่นกับเด็กข้างบ้าน พ่อแม่เขาจน พูดจาหยาบคาย
แทนที่จะห้ามลูกเช่นที่ว่า
ผู้ปกครองควรอธิบายให้ลูกฟังว่าการใช้คำพูดของเขาไม่เหมาะสม
พ่อแม่ของเขาอาจจะไม่ตระหนักว่าคำพูดของลูกเขาเป็นคำไม่สุภาพ
จะทำให้พ่อแม่ลูกมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นและจะไม่เกิดความรู้สึกแบ่งแยกพวก
เขาพวกเราด้วย
3. สอนให้ลูกรู้จักยอมรับคนอื่น คน
ที่มีปัญหา และให้ความช่วยเหลือ ให้มีน้ำใจต่อเขา
เอื้อเฟื้อเอื้ออาทรต่อคนอื่น ให้ความช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่าเรา
ทั้งนี้พ่อแม่ควรถ่ายทอดผ่านการกระทำ ไม่ใช่ผ่านคำพูด
พ่อแม่ต้องประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น
ลูกจึงจะมีพฤติกรรมเช่นนั้นเพราะเด็กจะเรียนรู้จากการกระทำเป็นหลัก
4. สร้างบรรยากาศของครอบครัวให้มีความรัก ความเข้าใจ ความผาสุก
จะป้องลูกอย่างไรจากการถูกรังแก
1. พ่อแม่ควรต้องติดตามความเป็นไปของลูก หาก
ลูกไปอยู่ในสถานการณ์แบบใดแบบหนึ่งเบื้อต้น เช่น
ลูกถูกรุมรังแกเพราะลูกเราไม่เหมือนคนอื่น
กรณีนี้ควรไปพูดคุยกับครูและผู้ปกครองของเด็กเหล่านี้ว่าจะร่วมกันแก้ปัญหา
อย่างไร จะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้เข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกข่มเหงรังแก
โดยให้ลูกเรากับลูกเขาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ไม่ใช่ใช้วิธีว่าเด็กคนไหนรังแกลูกเราให้บอก
แล้วไปจัดการเล่นงานเด็กพวกนั้นเอง
วิธีการนี้แก้ปัญหาไม่ได้และก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงมากขึ้น คือ
เราเองอาจจะต้องไปทะเลาะกับพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น
2. หากมีเด็กอันธพาลมารังแกลูกสาว ด้วย
วิธีการร้ายแรงซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญา เช่น การทำร้ายร่างกาย
ข่มขู่คุกคาม การถูกลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์
กรณีนี้ต้องให้กลไกทางกฎหมายมาเกี่ยวข้องเพราะพฤติกรรมของเด็กเหล่านี้
ไม่สามารถจะแก้ไขโดยวิธีการข้างต้นได้ ต้องมีกลไกทางกฎหมายมาช่วยเป็นกรอบ
กรณีนี้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องตระหนักว่า
ต้องแจ้งให้ผู้บังคับใช้กฎหมายทราบและเจรจากับทางโรงเรียนเพื่อใช้กฎหมายมา
ช่วยแก้ไขด้วย